Our View? “ควรฟื้นได้แล้ว”

คาดตลาดวันนี้ “Sideway Up” มองแนวรับที่บริเวณ 1,600 / 1,590 และแนวต้านที่บริเวณ 1,610 /1,615 มองตลาดจะให้น้ำหนักไปกับการรอดูถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในการแถลงต่อสภาคองเกรสและสภาผู้แทนฯ ว่าด้วยเรื่องนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ เพื่อประเมินสัญญาณถึงแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในช่วงที่เหลือของปี อย่างไรก็ตาม เราคาดตลาดจะเริ่มผ่อนคลายความกังวลของการที่ FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.50% ในเดือน มี.ค. นี้ ลงบ้างเล็กน้อย หลังจากที่นายราฟาเอล บอสติก ประธาน FED สาขาแอตแลนตา กล่าวสนับสนุนให้ FED ขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับเพียง 0.25% หลังจากประธาน FED ในสาขาอื่นๆ เปิดช่องให้สามารถขึ้นได้ที่ระดับ 0.25-0.50% ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์เริ่มชะลอตัวลง โดย Dollar Index เริ่มวกตัวลงล่าสุดอยู่ที่ระดับ 104.2+/- อีกทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (US Bond Yield) อายุ 10 ปี กลับมาอยู่ต่ำกว่าระดับ 4.00% คาดจะเป็นจิตวิทยาเชิงบวก หนุนทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงฟื้นตัวกลับขึ้นบ้างในระยะสั้น

ทางด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ส่งมอบเดือน เม.ย. เมื่อคืนนี้ฟื้นตัวขึ้นปิดที่ระดับ 80.46 ดอลลาร์/บาร์เรล +0.78 ดอลลาร์ (+0.98%) คาดจะได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในจีนฟื้นตัวมากขึ้นตามการกลับมาเปิดประเทศของจีน ซึ่งตั้งเป้าการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ระดับ 5.00% อีกทั้งยังได้รับจิตวิทยาเชิงบวกจากการที่ซาอุดิอาระเบียปรับขึ้นราคาน้ำมันดิบ Arab Light ต่อลูกค้าเอเชียอีกทั้ง คาดจะหนุนทิศทางราคาน้ำมัน-หุ้นในกลุ่มพลังงานฟื้นตัวกลับขึ้นได้

สำหรับปัจจัยในประเทศวันนี้ แนะนำติดตามการรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน ก.พ. ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อของไทยคาดจะออกมาอยู่ที่ระดับ +4.10% YoY ยังอยู่ในภาพการอ่อนตัวลงต่อเนื่อง เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความสามารถในการควบคุมเงินเฟ้อของไทย มองเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อทิศทางตลาดหุ้นไทยได้บ้าง รวมทั้งเรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อการที่เริ่มเห็นค่าเงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้างเล็กน้อยเช้านี้อยู่ที่ระดับ 34.6 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ +/- จากการที่ก่อนหน้านี้อ่อนค่าแรงแตะระดับ 35.40 บาท/ดอลลาร์ คาดจะเริ่มลดทอนแรงขายของนักลงทุนต่างชาติได้บ้าง อีกทั้งเราเริ่มเห็นกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ของไทยราว 235.34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในสัปดาห์ที่แล้ว รวมทั้งเราเริ่มเห็นการกลับมาปรับขึ้นคาดการณ์ EPS ของตลาดหุ้นไทยในปี’66 จากก่อนหน้าที่มีการปรับลดคาดการณ์กำไรของตลาดลงอยู่เพียง 90.0 บาท+/- เริ่มเร่งขึ้นกลับไปที่ระดับ 104.8 บาท คาดเป็นสัญญาณถึงแนวโน้มโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะเริ่มชะลอการขาย-กลับเข้าซื้อใหม่อีกครั้งในระยะถัดไป อีกทั้งการที่รัฐบาลส่งร่างกฎหมายการจัดเก็บภาษีขายหุ้นกลับมาให้กระทรวงการคลังพิจารณาใหม่อีกครั้ง ซึ่งส่งผลให้การจัดเก็บภาษีหุ้นในอัตรา 0.11% ของมูลค่าการขายถูกเลื่อนไปก่อน และจะกลับมาส่งเรื่องใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการยุบสภาที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ เราคาดว่าจะทำให้แนวโน้มการจัดเก็บภาษีหุ้นเป็นไปได้ยากมากขึ้น และต้องรอ ครม.ชุดใหม่เข้ามาพิจารณาอีกครั้ง มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย โดยเรายังคงแนะนำทยอยซื้อสะสมหุ้นในบางกลุ่มที่ถึงแม้ผลประกอบการออกมาแย่กว่าคาด แต่มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้ต่อในปีนี้ อาทิ 1.) หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC, BGRIM และ GULF) และ 2). หุ้นในกลุ่มธนาคาร (KBANK, BBL และ SCB) 3.) กลุ่มปิโตรเคมี (SCC, PTTGC, SCGP และ IVL) เรามองราคาอ่อนตัวลงรับรู้การรายงานผลประกอบการ 4Q′65 ไปบ้างแล้วในระดับหนึ่ง

ธีมการลงทุน “Selective Play”

หุ้นแนะนําวันนี้ “KBANK”

กลยุทธ์ แนวรับ 138.00 / 136.50 Target 142.50 / 145.00 Stop <135.00

- Advertisement -