บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):
Nutrition SC (NTSC.BK/NTSC TB)
ผลิตภัณฑ์ใหม่ และลูกค้าใหม่จะช่วยหนุนการเติบโต
Event
ประชุมนักวิเคราะห์ และปรับประมาณการกำไร
Impact
ได้ลูกค้าใหม่จากกลุ่ม ODM/OEM และ MNC
ผู้บริหารตั้งเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายปี 2566F ที่ 20% YoY เนื่องจาก NTSC มุ่งเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่จากกลุ่ม ODM/OEM (ประมาณ 5-10% ของยอดขายในปี 2565) NTSC ทำการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ เพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์ที่สูงขึ้นจากลูกค้ากลุ่มนี้ และคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ใน 2Q- 3Q66F นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในกระบวนการเจรจาเพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่หนึ่งรายที่เป็น Multinational Corporate (MNC) อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งลูกค้าสองกลุ่มนี้น่าจะช่วยหนุนให้ GPM ของบริษัทสูงขึ้น โดยเราคาดว่า GPM ในปี 2566-2567F จะเพิ่มขึ้นเป็น 23.0% จาก 22.3% ในปี 2565
เน้นที่นวัตกรรม
NTSC กำลังพัฒนาโครงการใหม่เกี่ยวกับ palatability enhancers (PE) ซึ่งเป็นกระแสใหม่ในอุตสาหกรรม อาหารสัตว์เลี้ยง เพราะบริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงปลายน้ำเน้นให้ความสำคัญกับนวัตกรรมด้วยเช่นกัน โดย ในปัจจุบัน ยังต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์ PE ซึ่งทั้งต้นทุนผลิตภัณฑ์ และค่าขนส่งสูง NTSC มีแผนจะใช้วัตถุดิบภายในประเทศในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีต้นทุนที่แข่งขันได้ ซึ่งคาดว่าโครงการนี้จะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ใน 2H66F สำหรับธุรกิจอาหารผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทจะตอบสนองอุปสงค์ในอุตสาหกรรมปลายน้ำ ได้แก่ กระแสความนิยมอาหารที่มีเกลือ ไขมัน และน้ำตาลต่ำ
ปรับลดประมาณการกำาไรปี 2566-2567F ลงเล็กน้อย 4%
บริษัทคาดว่าผลประกอบการน่าจะอ่อนแอใน 1Q66F เพราะอุตสาหกรรมการส่งออกอาหารสัตว์ตก ในขณะที่การบริโภคในประเทศยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตาม บริษัทจะเริ่มมีรายได้จากโครงการใหม่ๆ เข้ามาในช่วง 20-3Q66 ซึ่งจะเป็นตัวจักรสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตในปีนี้ แต่เนื่องจากกำไรในปี 2565 ออกมาต่ำกว่าที่เราคาดไว้ เราจึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2566F และ 2567F ลง 4% เหลือ 114 ล้านบาท (+48% YoY) และ 137 ล้านบาท (+20% YoY) ตามลำดับ เนื่องจากเราปรับ i) ลดประมาณการยอดขายลง 2% และ ii) เพิ่มค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยอีก 4 ล้านบาท
Valuation & action
เนื่องจากราคาหุ้นในปัจจุบันสะท้อนโมเมนตัมด้านบวกของผลประกอบการปีนี้ไปเรียบร้อยแล้ว เราจึงปรับลดคำแนะนำ NTSC จากซื้อเป็นถือ และปรับลดราคาเป้าหมายปี 2566 ลงเหลือ 32.50 บาท (PER ที่ 28.3x) จากเดิมที่ 34 บาท
Risks
เศรษฐกิจชะลอตัว, อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน และต้นทุนสูงขึ้น