Daily Focus: Short-term Rebound // Accumulate on Dip
2023SET Target: 1750
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงแรงกว่าที่คาดมาก ปิดลบถึง 49.18 จุด ลงทดสอบใกล้จุดต่ำสุดของปี 2022 ที่บริเวณ 1,520+- จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 1 แสน ลบ. สถาบันในประเทศ นักลงทุนต่างชาติ และบัญชีบล. ขายสุทธิในตลาดหุ้น 2.4 พันลบ. 4.7 พันลบ. และ 2.6 พันลบ. ตามลำดับ (แต่ต่างชาติพลิกมา Long Index Futures หนาแน่นถึง 3.4 หมื่นสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะ Rebound ได้ระยะสั้น หลังปรับตัวลงแรงทดสอบแนวรับหลัก 1,520 จุด โดยมีโอกาสฟื้นตัวสู่ระดับ 1,540-1,550 ได้ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปที่ฟื้นตัว อย่าไงรก็ตาม เรามองว่าความผันผวนในระยะนี้ยังค่อนข้างสูง โดยยังคงต้องติดตามสถานการณ์ของภาคการเงินในสหรัฐฯต่อเนื่อง หลัง Moody’s ปรับลด Outlook ของระบบธนาคารสหรัฐฯ ลงเป็น Negative รวมถึงประเด็นความเสี่ยงงบการเงินของ Credit Suisse ขณะที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่แม้จะออกมาตามคาด แต่ยังไม่เห็นสัญญาณปรับลงชัดเจน ทําให้ FED คาดว่ายังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีกระยะหนึ่ง ยังคงเป็นปัจจัยกดดันสินทรัพย์เสี่ยงให้ฟื้นตัวได้จำกัด รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดเริ่มชะลอตัวใน 1-2 ไตรมาสข้างหน้า ส่วนปัจจัยในประเทศโฟกัสอยู่ที่การยุบสภาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ และเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ซึ่งคาดช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เรามองการปรับฐานของดัชนีสู่ระดับแนวรับหลัก 1,520 จุด หากไม่มีปัจจัยลบจากภาคการเงินเพิ่มเติมและลุกลามเสี่ยงเกิดเป็นวิกฤต เรามองว่าดัชนีระดับปัจจุบันเริ่มน่าสนใจในการเข้าสะสมหุ้นเพิ่มเป็นระดับถัดมา ยังคงเน้นหุ้น Domestic Play มากกว่า Global Play
กลยุทธ์ : ทยอยสะสมหุ้นเพิ่ม หลังปรับฐานแรงสู่แนวรับหลัก 1,520+- จุด ยังเน้นหุ้น Domestic Play
หุ้นเด่นเดือน มี.ค. : ASW, BEYOND, CPN, M, NSL
หุ้นเด่นวันนี้ : AOT
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 85 บาท
- โมเมนตัมกำไร 2QFY23 คาดฟื้นตัวต่อเนื่องตามจำนวนผู้โดยสารทั้งไทยและต่างประเทศที่ฟื้นตัว โดยล่าสุดขึ้นมาที่ 81% และ 57% เทียบกับช่วงก่อน COVID-19 และดีกว่าสมมติฐานปัจจุบันราว 9%
- เราประเมินว่าเดือน เม.ย 23 เป็นต้นไปจะได้อานิสงส์จากนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาชัดขึ้นจากการเข้าสู่ตารางบินฤดูร้อน ซึ่งทำให้จำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้น รวมถึง Minimum Guarantee จาก King Power ที่เพิ่มขึ้นหลังหมดระยะเวลาช่วยเหลือ
- แนวรับ 66//64 บาท แนวต้าน 68-69 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคหนาแน่น US$1,885 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ US$1,007 ล้าน และ US$652 ล้าน ตามลำดับ ส่วนอาเซียนไหลออกมากสุดที่ไทย US$137 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่าจะชะลอการไหลออกอย่างมีนัยยะ หรือพลิกมาไหลเข้าได้จากบรรยากาศการลงทุนที่ผ่อนคลายขึ้นระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ตลาดยังติดตามสถานการณ์ภาคการเงินว่าจะลุกลามหรือไม่
ประเด็นสําคัญวันนี้
(0) เงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ใกล้เคียงคาด แต่ยังไม่ลงอย่างชัดเจน เงินเฟ้อทั่วไป +0.4% m-m, +6% y-y ชะลอจากเดือน ม.ค. ที่ +0.5% m-m, +6.4% y-y ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน +0.5% m-m, +5.5% y-y สูงกว่าคาดเล็กน้อย เร่งตัวขึ้น m-m จากเดือน ม.ค. ที่ +0.4% m- m, +5.6% y-y ซึ่งยังวางใจไม่ได้ เราจึงมอง FED จะยังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมสัปดาห์หน้าสู่ระดับ 4.75-5% ส่งผลให้ Bond Yield กลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง ระยะสั้นสินทรัพย์เสี่ยงฟื้นตัวได้หลังปรับฐานแรง แต่การฟื้นตัวคาดยังจำกัด
(0) RBF ยังคงมุมมองเดิมว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2022 โดยผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 2022 ไว้ +15%-20% y-y หนุนโดยรายได้ต่างประเทศคาดโตไม่น้อยกว่า 30% จากการขยายเฟส 2 โรงงานอินโดนีเซียและการขยายตลาดอินเดีย ส่วนในประเทศคาดโตราว 8%-10% โดยรวมดูการฟื้นตัวในประเทศยังไม่ตื่นเต้นนัก ส่วนหนึ่งคาดว่าลูกค้ากลุ่มอาหารส่งออกถูก กระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอ ขณะที่รายได้ CBD ยังน้อยมาก บริษัทตัดสินใจสร้างโรงงานในอินเดีย คาดจะแล้วเสร็จในปี 2024 คาดรายได้จะเร่งตัวขึ้นในปี 2025 เป็นต้นไป ระยะสั้นคาดกําไร 1Q23 จะฟื้นตัว q-q มาอยู่ที่ 120-130 ลบ. แต่ยังลดลง y-y ดูฟื้นช้ากว่าที่เคยคาด เราอาจปรับลดประมาณการกำไรปี 2023 ลงราว 12% เป็น 681 ลบ. +41% y-y และจะปรับลดราคาเป้าหมายลงจาก 14 บาทเหลือ 13.50 บาท แนะนำ “เก็งกำไร”
(+) PRTR เข้าเทรดวันนี้ ดำเนินธุรกิจให้บริการจัดจ้างพนักงาน (Outsource) และสรรหาบุคลากร (Recruitment) มีประสบการณ์กว่า 30 ปี มีลูกค้าในหลากหลายธุรกิจ และครบวงจร ตั้งแต่จัดหาและจัดจ้างพนักงานบริหาร และจัดการทรัพยากรบุคคลเรื่องต่างๆ เช่นเรื่อง ขาด ลา มาสาย และมีแผนรุกธุรกิจให้บริการฝึกอบรมแบบออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มและออฟไลน์ (Blacksmith) และธุรกิจการให้บริการแพลตฟอร์มหางานออนไลน์ (Nexmove) เราคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2023-2025 โตเฉลี่ย +22% CAGR ตามการเติบโตของเศรษฐกิจ เงินที่ได้จาก IPO จะนำไปคืนหนี้สำรองเป็นเงินหมุนเวียน และลงทุนโครงการใหม่ เราประเมินราคาเป้าหมาย 9 บาท (Finansia เป็นผู้จัดจำหน่ายฯ)
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 336.26 จุด หรือ +1.06% ปิดที่ 32,155.40 จุด จากนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลหลังจากรัฐบาลสหรัฐและทั่วโลกได้ออกมาสร้างความเชื่อมั่นว่าจะสามารถควบคุมภาคธนาคารได้ ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อออกมาชะลอตัวใกล้เคียงที่ตลาดคาด
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก ได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งร่วงลงก่อนหน้านี้
(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวก ตามทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐ
(0) ค่าเงินบาท ทรงตัว อยู่ที่บริเวณ 34.52 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 3.47 ดอลลาร์ หรือ 4.6% ปิดที่ 71.33 ดอลลาร์/บาร์เรล นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับภาคธนาคารของสหรัฐ ขณะที่ EIA จะเปิดเผยข้อมูลตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐในคืนนี้ โดยตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 600,000 บาร์เรล ในขณะที่เช้านี้รีบาวน์ที่ระดับ 72.21 ดอลลาร์/บาร์เรล +1.23%
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 5.60 ดอลลาร์ หรือ 0.29% ปิดที่ 1,910.90 ดอลลาร์/ออนซ์ จากแรงเทขายทำกำาไรหลังจากทองค่าปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 3 วัน ทำการ ในขณะที่เช้านี้ย่อตัวลงที่ระดับ 1,907.3 ดอลลาร์/ออนซ์ -0.19%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 913.27 / –