Our View? “ไปไม่รอ”
คาดตลาดวันนี้ “Sideway up” มองแนวรับที่บริเวณ 1,570 / 1,560 และแนวต้านที่บริเวณ 1,580 /1,600 เรามองตลาดยังคงอยู่กับภาพของความผ่อนคลายความกังวลจากวิกฤตธนาคารในสหรัฐและยุโรป จากที่ทั้งภาครัฐและเอกชนของสหรัฐร่วมมือกันแก้ไขปัญหา และสร้างความเชื่อมั่นสู่ระบบธนาคารของสหรัฐและยุโรปอีกครั้ง โดยล่าสุด JP Morgan เตรียมเป็นผู้นำเจรจากับธนาคารพาณิชย์อื่นๆ เกี่ยวกับการแปลงเงินฝากที่กลุ่มธนาคารสหรัฐฝากให้ First Republic Bank (FRB) ไปในช่วงก่อนหน้ากว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ เป็นการเพิ่มทุนใน FRB คาดเป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่ระบบธนาคารสหรัฐเพิ่มเติม อีกทั้งมีรายงานกระทรวงการคลังสหรัฐกำลังศึกษาให้บรรษัทค้ำประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) คุ้มครองเงินฝากผู้ฝากเงินในธนาคารสหรัฐเต็ม 100% จากปัจจุบันที่คุ้มครองเพียง 2.5 แสนดอลลาร์ มองเป็นปัจจัยบวกช่วยผ่อนคลายความกังวลดังกล่าวเพิ่มเติม ขณะที่ดัชนี Fear & Greed Index ยังสามารถฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องล่าสุดอยู่ระดับ 38 แม้ยังอยู่ในโซน Fear แต่ฟื้นตัวขึ้นได้ต่อเนื่องจากระดับต่ำสุดที่ในโซน Extreme Fear ที่ 18 ในช่วงก่อนหน้า สอดคล้องกับดัชนี VIX Index ที่เป็นเครื่องมือวัดความผันผวนของตลาดปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดใหม่ในภาพระยะสั้นที่ระดับ 21.38 เช้านี้ หลังขึ้นเตะระดับ 30.0 ในช่วงก่อนหน้า สะท้อนตลาดเริ่มผ่อนคลายความกังวลดังกล่าวมากขึ้นและกำลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
อย่างไรก็ดี วันนี้เราแนะนำติดตามประชุม FOMC ของ FED อย่างใกล้ชิด โดยเราคาดว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% และคาดอาจจะเริ่มมีการส่งสัญญาณถึงการลดอัตราดอกเบี้ยลงเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้ หลังจากที่ผลของการใช้ยาแรงในการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ FED เริ่มส่งผลกระทบเข้าสู่ระบบธนาคารของสหรัฐ มองจะเป็นปัจจัยกดดันทิศทาง Dollar Index อ่อนตัวลง และถือเป็นการเพิ่มกระแสเงินทุนส่วนเกินทางอ้อมเข้าสู่ตลาด หนุนความน่าสนใจในตลาดในภูมิภาครวมถึงหุ้นไทย
สําหรับปัจจัยในประเทศ เรายังคงมองตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายจากการ Panic ในวิกฤตธนาคารในสหรัฐ-ยุโรปมากเกินไป ขณะที่หุ้นในกลุ่มธนาคารฯ (KBANK, SCB, BBL, KTB และ TTB) ที่โดนขายออกมามากส่วนใหญ่คาดมาจากแรง Panic ของตลาด โดยเรายังมุมมองธนาคารพาณิชย์ของไทยมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยระบบธนาคารไทยในช่วงสิ้นปี 65 มีสภาพคล่อง (LCR) กว่า 197.3% และมีอัตราตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) สูงถึง 19.4% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 8.5% อีกทั้ง ธปท. รายงานปริมาณธุรกรรม โดยรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยใน Fintech และ Startup ทั่วโลกมีน้อยกว่า 1% ของเงินกองทุนของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดจะได้รับผลกระทบที่ว่ากัดมากๆ จากวิกฤตธนาคารในสหรัฐ-ยุโรป เรามองเป็นโอกาสในการเข้าสะสมเมื่อปรับตัวลงสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ อีกทั้งเมื่อวานนี้ ธปท. ประกาศขยายอายุมาตรการฟื้นฟูสินเชื่อและโครงการพักทรัพย์–พักหนี้ออกไปอีก 1 ปี คิดเป็นวงเงินกว่า 2.7 แสนล้านบาท เพื่อเสริมการฟื้นตัวต่อ ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมองเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารที่มีโอกาสจะตั้งสำรองหนี้ลดลงตั้งแต่ช่วงปีนี้ อีกทั้งเรายังคงชอบหุ้นในกลุ่ม Defensive อาทิ หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC, BGRIM และ GULF) ที่คาดจะได้รับประโยชน์จากการกลับมาแข็งค่าของค่าเงินบาทในระยะต่อไป รวมทั้งราคาพลังงานที่อ่อนตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่เมื่อ วานนี้ กกต. ประกาศวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 พ.ค. มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มค้าปลีก (CPALL, BJC และ MAKRO) และหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (STEC และ CK)
ธีมการลงทุน “Selective Play”
หุ้นแนะนําวันนี้ “KBANK”
กลยุทธ์ แนวรับ 132.00 / 128.00 Target 141.00 / 145.00 stop <127.50