ประเมิน SET Index ยืนเหนือระดับ 1,600 จุดได้มั่นคงมองเป็นโมเมนตัมบวก ระยะสั้นคาด แกว่งตัว Sideway up ในกรอบ 1,600-1,620
ประเด็นการลงทุน
วันนี้เคาะ MEGA ในเชิง Valuation ซื้อขายกันที่ PER ที่ 16.3 เท่าเทียบกับตลาดที่ 19.2 เท่า ถือว่าราคาซื้อขายต่ำกว่าตลาด และยัง laggard กว่าตลาด หลัง SETI กลับมายืนที่ระดับ 1,600 จุดได้ แต่ MEGA ยังไม่ได้ปรับตัวขึ้นมาที่ระดับเดิมในช่วงที่ตลาดปรับฐานที่ผ่านมา
MARKET STRATEGY
สรุปตลาดวานนี้
SETI ปิดที่ 1,610.52 จุด เพิ่มขึ้น 3.61 จุด (+0.22%) มูลค่าการซื้อขาย 44,496.08 ล้านบาท ลดความร้อนแรงลง หลังปรับตัวขึ้นมาเกือบ 100 จุดในช่วง 2 สัปดาห์นี้ ประกอบกับผลการประชุมของกนง. มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด ทำให้ไม่ได้มีแรงหนุนเข้ามาเพิ่ม
Research Highlight: กนง. ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 1.75% ตามคาด/คาด Fund flow เริ่มไหลเข้า
1. กนง. ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามตลาดคาด ส่งสัญญาณยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
- กนง. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามคาด 0.25% สู่ระดับ 1.75% โดยมีมุมมองเศรษฐกิจไทยเติบโตต่อเนื่อง คาด GDP ขยายตัว 3.6% ในปี 66 และ 3.8% ในปี 61 จากภาคท่องเที่ยวหนุน ซึ่งประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวที่ 28 ล้านคน ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.99% (ลดลงจากเดิมที่ 3.0%) ในปี 65 และ 2.4% ในปี 67 ทั้งนี้ กนง. ได้ส่งสัญญาณที่พร้อมจะปรับขนาดและเวลาการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยเปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้ นั่นคือเศรษฐกิจออกมาดีกว่าคาด ซึ่งจะมาจากภาคการท่องเที่ยว แต่ประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 28 ล้านคน มองว่าค่อนไปทางสูงเมื่อเทียบกับ Consensus ของตลาดที่ 25-30 ล้านคน ทำให้ปัจจัยดังกล่าวที่จะหนุนให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงมีจํากัด
- เราประเมินว่า กนง. จะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และคงที่ระดับ 1.75% ไปตลอดทั้งปี หลังก.พาณิชย์ประเมินว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะลดลงต่ำกว่า 3% ตั้งแต่เดือนเม.ย. กลุ่มที่เชื่อมโยงกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ได้แก่ กลุ่มการเงิน AEONTS SAWAD TIDLOR NCAP อสังหาฯ SC SIRI (มีปันผลสูง>5%) และค้าปลีกที่ได้ประโยชน์จากเข้าใกล้การเลือกตั้งที่จะมีเงินสะพัดในช่วงเวลานี้ เราชอบ MAKRO CPALL BJC ส่วนกลุ่มธนาคารที่ได้ประโยชน์โดยตรง เราชอบทั้ง sector (มี XD ในช่วงเม.ย. โอกาส short selling ลดลง) Top picks เราชอบ KBANK KTB KKP
2. จับตาตัวเลขส่งออก ก.พ. หดตัว 6.9%YOY
- ตลาดคาดการณ์ตัวเลขส่งออกเดือน ก.พ. หดตัว 6.9%YoY ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่หดตัว 4.5%YoY ประเมินว่าการส่งออกไทยยังมีแนวโน้มหดตัวต่ออีกระยะหนึ่ง เนื่องจากสินค้าส่งออกหลักหลายรายการยังจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะสินค้าเกี่ยวกับ WFH ลดลง เช่น คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ประกอบกับผลสืบเนื่องจากปัญหาของเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ในงวด MTD
Upcoming events
- ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ
- 30 มี.ค. GDP4Q US (ประมาณการครั้งสุดท้าย) คาดขยายตัว 2.7%Qoo และ Manufacturing PMI (มี.ค.) จีน คาดขยายตัวเพียง 50.5 จุด จากเดือนก่อนที่ 52.6 จุด
- 31 มี.ค. อัตราเงินเฟ้อยุโรป มี.ค. คาดชะลอตัวลงเหลือ 7.4% จากเดือนก่อนที่ขยายตัว 8.5% และ Core PCE US คาดขยายตัวลดลงเหลือ 0.4%MoM จาก 0.6% ของเดือนก่อน ปัจจัยสำคัญต่อการกำหนด ทิศทางนโยบายการเงินของเฟด หากออกมาตามคาดจะหนุนให้เฟลคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC ในพ.ค. ถือเป็นจุดสิ้นสุดของวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และรายงานเศรษฐกิจจาก ธปท.
Investment Strategy
- ประเมิน SET Index ยืนเหนือระดับ 1600 จุดได้มั่นคง มองเป็นโมเมนตัมบวก ระยะสั้นคาดแกว่งตัว sideway up ในกรอบ 1600-1620
- ในเชิง Sentiment มองว่า Fund flow มีแนวโน้มไหลเข้าตลาดหุ้นไทย จากการยุติการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก่อนกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว มี Terminal rate ที่ไม่สูงจนไปกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ปัญหาภาคธนาคารในสหรัฐฯและยุโรปกระทบค่อนข้างจำกัด จากธนาคารไทยมีเงินกองทุนที่สูงกว่าเกณฑ์ ธปท. พอสมควร รวมถึงความเสี่ยงด้านตราสาร AT1 กระทบจำกัดมากๆ เพราะไม่ได้เป็นสัดส่วนหลักในเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่แล้ว ผสานกับ Bond yield ในประเทศที่น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวที่มีแรงหนุนจากภาคท่องเที่ยว และจีนเปิดประเทศ ขณะที่ยังได้แรงหนุนจากการเลือกตั้ง เป็น sentiment เชิงบวกต่อตลาด
- แนะนำ Selective buy กลุ่ม Big cap, ที่ Laggard HMPRO CPALL CPN AOT KBANK SCB JMT BDMS กลุ่ม Mid&Small cap ที่น่าสนใจ YONG MEB KJL WARRIX FSMART DPAINT กลุ่ม Election Rally ADVANC KBANK BBL SC SIRI WHA STEC CPALL EA
Global Markets
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดพุ่งขึ้นกว่า 300 จุดหลังจาก บริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงบริษัทไมครอน เทคโนโลยี เปิดเผยแนวโน้มผลประกอบการที่สดใส ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร รวมถึงหุ้นยูบีเอสซึ่งปรับตัวขึ้นหลังจากแต่งตั้งซีอีโอคนใหม่
(-) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดลบจากนักลงทุนเทขายทำกำไร หลังจากสัญญาน้ำมันพุ่งขึ้นติดต่อกัน 2 วันทำการ ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงจับตาภาวะอุปทานน้ำมันในตลาด
(-) สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดลบจากการแข็งค่าของดอลลาร์เป็นปัจจัยกดดันตลาด ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งจะบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด
หุ้นเคาะไป คุยไป..MEGA
- ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 66 เติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 5% จากยอดขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนจากจีนเปิดประเทศ หนุนยอดขายยาที่เกี่ยวข้องกับโควิด เช่น ยาแก้ปวด แก้ไข และอยู่ในระหว่างการพัฒนาและยื่นรอขึ้นทะเบียนมากกว่า 170 รายการ (SKUs) จากปัจจุบัน 350-400 รายการ ขณะที่ port กว่า 80% เป็นแบรนด์ของบริษัทเอง ทำให้มีมาร์จิ้นที่ดี (Overall 44-45%, Mega We Care 57% และ Maxxcare 17.5%) ขณะที่แรงกดดันด้านต้นทุนพลังงาน ต้นทุนการเงินที่เข้าใกล้ปลายทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
- ด้านความเสี่ยงของสถานการณ์การเมืองในเมียนมาร์ ยังมีความไม่แน่นอน และระเบียบในการนำเข้าสินค้าเพื่อการอุปโภคและบริโภคจะมีความยากมากขึ้น แต่เชื่อว่าจะดีขึ้นจากปีที่แล้ว ด้านโรงงานในอินโดฯ ยังเปิดตามแผน 2Q66 ตั้งเป้าหมายในระยะ 4-5 ปีจากนี้จะทำได้เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 30-50 ล้านดอลลาร์ เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ Tablet Hard/Soft Gel และยามะเร็ง เน้นลูกค้ารายย่อยและโรงพยาบาลในประเทศอินโดฯ เป็นหลัก
- ในเชิง Valuation ชื้อขายกันที่ PER ที่ 16.3 เท่า เทียบกับตลาดที่ 19.2 เท่า ถือว่าราคาซื้อขายต่ำกว่าตลาด และยัง laggard กว่าตลาด หลัง SETI กลับมายืนที่ระดับ 1600 จุดได้ แต่ MEGA ยังไม่ได้ปรับตัวขึ้นมาที่ระดับเดิมในช่วงที่ตลาดปรับฐานที่ผ่านมา