RICHY เฮ! ชนะคดียื่นฟ้อง “วรลักษณ์ พร๊อพเพอร์ตี้” เรียกคืนเงินมัดจำ 145 ลบ. พร้อมดบ.7.5% ต่อปีนับจาก ต.ค.2558 คาดดำเนินการติดตามรับเงินได้ภายในปี 2566 นี้
บมจ. ริชี่เพลซ 2002 (RICHY) เตรียมรับทรัพย์ หลังศาลฎีกาตัดสินให้ชนะคดีเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บมจ.วรลักษณ์ พร๊อพเพอร์ตี้ คืนเงินมัดจำในโครงการคอนโดมิเนียมวอร่า ถนนสุขุมวิท 49 มูลค่า 145 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปีตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 จนกว่าจะชำระแล้วเสร็จ คาดดำเนินการติดตามขอรับเงินคืนได้ภายใน ปี 2566 นี้
บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) RICHY ระบุว่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2566 ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้บริษัท วรลักษณ์ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) คืนเงินมัดจำในโครงการคอนโดมิเนียมวอร่า ถนนสุขุมวิท 49 มูลค่า 145 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 จนกว่าจะชำระแล้วเสร็จให้กับบริษัท ทั้งนี้ คาดว่าการดำเนินการติดตามขอรับเงินมัดจำดังกล่าวคืนจากผู้ขายจะแล้วเสร็จได้ภายในภายในปี 2566 นี้
“การที่บริษัทฯชนะคดีดังกล่าวจะทำให้ได้บริษัทฯได้รับเงินคืนมูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถบันทึกในงบการเงินได้ภายในปี 2566 “
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 คณะกรรมการมีมติอนุมัติให้ซื้อโครงการวอร่า ถนนสุขุมวิท 49 จากบริษัท วรลักษณ์ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มูลค่า 945 ล้านบาท แต่ต่อมาการประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้ยกเลิกการซื้อโครงการดังกล่าว เนื่องจากได้ตรวจพบความไม่เรียบร้อยตามแบบก่อสร้างและมาตรฐานที่คู่สัญญาได้ตกลงกันไว้ พร้อมทั้งจะดำเนินการติดตามขอรับเงินมัดจำดังกล่าวคืนจากผู้ขายต่อไป
โดยที่ผ่านมา บริษัทได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ผู้จะขายชำระคืนเงินมัดจำ จำนวน 145 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2558 นอกจากนี้ยังขอให้ผู้จะขายชำระค่าเสียหายหนึ่งเท่าของเงินมัดจำ และชำระค่าเสียหายที่บริษัทต้องเสียจากการทำสัญญาจะซื้อจะขายอีก 8.87ล้านบาท รวมถึงได้ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณาโดยขอให้ศาลสั่งอายัดทรัพย์สินของผู้ขายจำนวน 109 ห้อง
ขณะที่เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2561 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินมัดจำ จำนวน 145 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2558 ให้กับบริษัท ซึ่งทางผู้จะขายในฐานะจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ต่อมาในวันที่ 5 มีนาคม 2563 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยคืนเงินมัดจำ จำนวน 145 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2558 จนกระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2566 ศาลฎีกาได้พิพากษาให้จำเลยคืนเงินมัดจำ จำนวน 145 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2558 เช่นกัน ดังนั้นคดีจึงสิ้นสุดลง