ประเมิน SET Index ลุ้นทดสอบแนวต้าน 1,600
ประเด็นการลงทุน
- สรุปตลาดวานนี้
- SETI ปิดที่ 1,592.67 จุด ลดลง 4.43 จุด (-0.28%) มูลค่าการซื้อขาย 44,756.11 ล้านบาท รับแรงขายลดความเสี่ยงก่อนหยุดยาวเนื่องในเทศกาลวันสงกรานต์ของไทย และยังมีปัจจัยกดดันจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลก
Research Highlight: KBANK-SCB ขึ้น XD คาดกดดันดัชนีราว 1-2 จุด
- Update ข้อมูลเศรษฐกิจ สหรัฐ
- เฟดได้เปิดเผยรายงาน FOMC ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา โดยมีความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตสภาพคล่องของธนาคารระดับภูมิภาค
- ดัชนี CPI มี.ค. อยู่ที่ 5% ต่ำกว่าที่ตลาดคาด และชะลอตัวจากระดับ 6.0% ในเดือนก.พ. สนับสนุน ประเด็นเรื่องเงินเฟ้อในสหรัฐได้ผ่านจุดพีคไปแล้ว ทั้งนี้หลังมีการรายงานตัวเลขออกมาทำให้ US bond yield ปรับตัวลง และ Dollar index ที่อ่อนค่าลง อย่างไรก็ดีมีปัจจัยลบจาก IMF ให้มุมมองว่าเงินเฟ้อในสหรัฐยังมีแรงกดดันที่สูง โดยเฉพาะจากภาคบริการและค่าเช่า และระดับเงินเฟ้อปัจจุบันยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% และยังเตือนว่าสหรัฐยังคงมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจทรุดตัวลงอย่างรุนแรง โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัว 1,69% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่ระดับ 1%
- ดัชนี PPI เพิ่มขึ้น 2.7%YoY ในเดือนมี.ค. โดยชะลอตัวจากระดับ 4.9% ในเดือนก.พ.
- ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 239,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งปรับตัวขึ้นสูงกว่าที่คาดการณ์ที่ระดับ 232,000 ราย สอดคล้องกับกระแสการเลย์ออฟพนักงานในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ตลอดจนภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีความอ่อนไหวต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
- การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมี.ค.ลดลงมากกว่าที่คาดมาที่ระดับ 0.59% โดยภาคการผลิตคิดเป็นสัดส่วน 11.3% ของเศรษฐกิจสหรัฐ แต่กำลังเผชิญความยากลำบากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งบั่นทอนอุปสงค์สําหรับสินค้า
- ม.มิชิแกนรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 63.5 ในเดือนเม.ย. จาก 62 ในเดือนมี.ค. ทั้งนี้พบว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการคาดการณ์เงินเฟ้อระยะสั้นยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.6% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า จากระดับ 3.6% ในการสำรวจเดือนที่แล้ว ทั้งนี้แม้ว่าภาพตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ สะท้อนให้เห็นว่าภาวะเงินเฟ้อและตลาดแรงงานของสหรัฐเริ่มคลายความร้อนแรง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่จะทำให้เฟตใกล้ยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่เรามองว่าในการประชุม FOMC ในวันที่ 2-3 พ.ค. เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งไปสู่ระดับ 5.00-5.25% และเชื่อว่าจะส่งสัญญาณใกล้จะยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุก
- รายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคารสหรัฐออกมาแข็งแกร่ง ติดตามการรายงานบริษัทชั้นนำต่างๆ ของสหรัฐ
- ซิตี้กรุ๊ป, เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และเวลส์ ฟาร์โก เปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด โดยได้แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และความวิตกที่ลดลงเกี่ยวกับปัญหาในระบบธนาคาร ถ้าหากผู้บริหารให้มุมมองที่เป็นบวก จะช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับภาคธนาคารทั่วโลก
- ทั้งนี้ปัญหาจากเสถียรภาพทางการเงินของธนาคารสหรัฐฯ ที่ก่อให้เกิดปัญหา Bank run ในธนาคารขนาดกลาง-เล็ก ในระยะสั้น จะกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อ อาจเป็นปัจจัยกดดันการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วง 2H66 เป็นอีกปัจจัยหนุนให้เฟดยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
- อย่างไรก็ดีเรายังไม่ตัดประเด็นเรื่อง recession ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกจากมุมมองของเราได้ เนื่องจากแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อธนาคารที่ลดลง การกลับมาลดขนาดงบดุลของเฟต หลังวิกฤตธนาคารเริ่มคลี่คลาย และภาพ real sector อย่างราคาบ้านในสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ มิ.ย. 65 และข้อมูลดัชนีภาคการผลิตเดือนมี.ค. ที่ปรับตัวลง
- จับตาการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทชั้นนำต่างๆ อาทิ โกลด์แมนแซคส์, มอร์แกน สแตนลีย์, แบงก์ ออฟ อเมริกา, เน็ตฟลิกซ์ ตลอดจนธนาคารระดับภูมิภาคและบริษัทอุตสาหกรรม
- จีนส่งออกดีกว่าคาด ติดตามตัวเลข GDP 1Q66
- การส่งออกของจีนพุ่งขึ้น 14.8%YoY ในเดือนมี.ค. จากอุปสงค์จากประเทศเอเชียส่วนใหญ่และจากยุโรปปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่โรงงานต่างๆ ในจีนเริ่มดำเนินการผลิตอีกครั้ง ซึ่งเป็นแรงหนุนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
- ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ของจีนเพิ่มขึ้นในเดือนมี.ค. ซึ่งรถยนต์ New Energy ที่ผลิตในจีนยังคงได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศในเดือนมี.ค. โดยเฉพาะบีวายดี (BYD) และเทสลา ไชน่า (Tesla China)
- ติดตามตัวเลข GDP 1Q66 ของจีน ซึ่งเราให้น้ำหนักกับตัวเลขดังกล่าวเนื่องจากจะเป็นตัวชี้โมเมนตัมของ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนหลังการยกเลิกนโยบาย ZCV ซึ่งหากออกมาดีกว่าตลาดคาดที่ 4.0%YoY อาจเห็นการปรับประมาณการขึ้น ส่งผลต่อแนวโน้ม A share eamings ที่จะปรับตัวขึ้นตามในเชิงกลยุทธ์เราชอบกลุ่ม China play แนะนำ PTTGC TOP SCCP TKN
Global Markets
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบในวันศุกร์ (14 เม.ย.) โดยถูกกดดันหลังจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจได้ตอกย้ำการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ซึ่งความกังวลดังกล่าวได้บดบังปัจจัยบวกจากการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกที่แข็งแกร่งของธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐ
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกในวันศุกร์ (14 เม.ย.) สู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี และปิดในแดนบวกเป็น 1 สัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการเชิงบวกของธนาคารรายใหญ่ในสหรัฐ และจากความหวังที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
(+) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดบวกเล็กน้อยในวันศุกร์ (14 เม.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่สํานักงานพลังงานสากล (IEA) เตือนเกี่ยวกับแนวโน้มอุปทานน้ำมันที่ตึงตัวมากขึ้นในปีนี้
(-) สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดลดลงในวันศุกร์ (14 เม.ย.) โดยถูกกดดันจากการที่ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ขณะที่มีแนวโน้มว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนหน้า
หุ้นเคาะไป คุยไป..OR
- ภาพรวมธุรกิจปี 66 มีมุมมองดีขึ้น ทั้งจากฝั่งของ mobility และ lifestyle เนี่องจากนโยบายการเปิดประเทศคงมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งการจับจ่ายใช้สอยและการเดินทางภายในประเทศที่จะกลับสู่ระดับปกติ จะดันให้ปริมาณขายน้ำมันเร่งตัวกลับสู่ระดับค่าเฉลี่ยก่อนช่วงโรคระบาด อีกทั้งตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเพิ่มขึ้น จะช่วยกระตุ้นกิจกรรมการ ท่องเที่ยวและปริมาณการใช้น้ำมันเจ็ทเพิ่มมากขึ้น โดยผู้บริหารมองว่าราคาน้ำมัน ปัจจุบันอยู่ในภาวะที่มีเสถียรภาพและจะหนุนให้ปริมาณการใช้น้ำมัน ภายในประเทศปี 66 เติบโตได้ 3-4% แม้ว่าสัดส่วนการใช้น้ำมันแทนก๊าซธรรมชาติจะลดลง
- แผนการขยาย Point of sales ปี 66 คงแผนขยาย café amazon 400 สาขา (ภายในประเทศ) 112 (ต่างประเทศ), ปั๊มใหม่ 122 ปั้ม (ภายในประเทศ) และ 82 สาขา (ต่างประเทศ), ศูนย์ซ่อม FIT auto 18 สาขา, 500 จุดชาร์จรถไฟฟ้าตามสถานี PTT ขณะที่แผนการลงทุน CAPEX ปี 66 (22% EV and ptt station, 45% food and bev outlets, 16% global, 17% innovation)
- เราประเมินทําไรสุทธิปี 66 และปี 67 เท่ากับ 14,736 ล้านบาท (+42%YoY) และ 17,598 ล้านบาท (+19.4% YoY) และคงคำแนะนำซื้อที่ราคา 28.25 บาท อิง PE 24.6 เท่า (ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย SD-0.5 ย้อนหลัง 1 ปี) EPS ปี 2566 เท่ากับ 1.23 บาท โดยเรามองว่า OR จะได้รับประโยชน์จากกิจกรรมการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณขายน้ำมันเร่งตัวกลับสู่ระดับค่าเฉลี่ยก่อนช่วงโรคระบาด