KS Daily View 20.04.2023 >>> Fed อาจคงดอกเบี้ยสูงนานกว่าคาด ผลเลือกตั้งไทยเป็นปัจจัยกดดันตลาด SET คาดแกว่งตัวในกรอบ 1,555-1,596 จุด หุ้นแนะนำวันนี้ KTB, SHR
สรุปภาวะตลาดเมื่อวันวานนี้
ต่างประเทศ: ดัชนี DJIA -0.23%, S&P 500 -0.01%, และ NASDAQ +0.03% โดยSector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ Utilities +0.78%, Real Estate +0.55%, และ Financial +0.26% ส่วนSector ที่ underperform ได้แก่ Communication Services -0.72%, Materials -0.31%, และ Energy -0.25%
ในประเทศ: SET Index ปรับตัวลดลง -13.12 จุด หรือ -0.82% ปิดที่ 1,580.73 จุด โดยหุ้นที่ปรับขึ้นได้แก่ CPALL (+1.59%) และ DELTA (+1.46%) เป็นต้น ส่วนหุ้นที่ปรับลงแรง ได้แก่ JMT (-9.8%), JMART (-9.7%), SINGER (-6.4%), และ CBG (-5.3%) เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
เราปรับกรอบตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้เป็น 1555-1596 จุด (จากเดิมที่ 1585-1625 จุด) หลังหลุดแนวรับที่ 1585 จุดวานนี้บนความเสี่ยงที่เฟดจะคงดอกเบี้ยระดับสูงนานกว่าคาด และความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งไทยเป็นปัจจัยกดดันตลาด โดยตอนนี้ตลาด Fed funds futures ลดคาดการณ์โอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยใน 2H23 เหลือเพียง 25-50bps. จากเดิมที่คาดกัน 75-100bps. และกว่าเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยก็ลากไปถึงช่วงปลายปีทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะชะลอการลงทุนและกระทบกับมูลค่าการซื้อขายของตลาด โดยประเมินตลาดจะยังแกว่งตัวรอประเมินทิศทางเศรษฐกิจโลก (Soft Landing / Recession / Stagflation) และผลการเลือกตั้งทั่วไปของไทยในวันที่ 14 พ.ค. ในเชิงกลยุทธ์ทาง KS ยังแนะนำผสานการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Quality growth , Defensive, และกลุ่มพลังงาน ตามลำดับ วันนี้และพรุ่งนี้รอติดตามงบกลุ่มธนาคารที่เหลือได้แก่ BBL, KKP, KBANK, และ SCB เป็นต้น โดยล่าสุด KTB และ TTB รายงานกำไรดีกว่าคาด 14% และ 20% ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.) อังกฤษรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมีนาคมที่สูงกว่าคาดที่ 10.1% YoY จากที่ประเมินไว้ 9.8% YoY หลักๆมาจากเงินเฟ้อพื้นฐานออกมาที่ +6.2% YoY สูงกว่าคาดที่ +6.0% จากราคาอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่แอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น 19.2% YoY ซึ่งเร่งตัวขึ้นสูงที่สุดในรอบ 45 ปี ตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดทำให้ตลาดกลับมากังวลว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะต้องคงดอกเบี้ยที่ระดับสูงนานกว่าคาด โดยเฉพาะค่าเงิน USD ปรับตัวขึ้น +0.21% วานนี้ และ US 2Y yield และ 10Y yield ปรับตัวขึ้น 5bps. และ 3bps. ตามลำดับเป็น 4.25% และ 3.60% ตามลำดับ พร้อมกับการขายทำกำไรในทองคำ (-0.5%) และน้ำมัน (-2.0%) ทำให้อาจมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นในกลุ่มพลังงาน
2.) STARK แจ้งขอเลื่อนการส่งงบปี 2565 เป็นเดือน พ.ค. ถึง มิ.ย. จากปัญหาสินค้าคงคลังทำให้ปิดงบล่าช้า ปัจจุบันบริษัทมีเงินกู้ยืมธนาคารทั้งสิ้น 8.6 พันลบ. ณ สิ้น 3Q65
3.) หุ้นที่ทาง KS มีการปรับมุมมองวันนี้ได้แก่ EKH ราคาพื้นฐาน 9.00 บาท ปรับคำแนะนำเป็น ซื้อ จากคนไข้ IVF จีนกลับมา, SCGP ปรับราคาพื้นฐานลงเป็น 49 บาท (จาก 52 บาท) คาดกำไรฟื้นตัว QoQ และเห็นชัดใน 2H23 และ CBG ปรับราคาพื้นฐานลงเป็น 75 บาท (จาก 106 บาท) บนแนวโน้มกำไร 1Q23 ที่จากยอดขายแย่กว่าคาด โดยเฉพาะการฟื้นตัวของยอดขายในประเทศ และยอดส่งออกไปประเทศหลักๆ
4.) กรมการท่องเที่ยวและกีฬามีแผนที่จะเลื่อนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวหรือค่าเหยียบแผ่นดินของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จากเดิมที่จะจัดเก็บในวันที่ 1 มิ.ย.66 เป็นวันที่ 1 ก.ย รอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง (ค่าธรรมเนียมที่ 300 บาทต่อคนเมื่อเดินทางผ่านทางอากาศ 150 บาทต่อคนเมื่อเดินทางผ่านทางบกและน้ำ) มองเป็น sentiment บวกกับ AOT
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
1.) หุ้นที่มีปัจจัยบวกหนุนหรือทิศทางผลประกอบเติบโต (Quality Growth) ได้แก่
1.1) KTC ราคาพื้นฐาน 62 บาท กำไร 1Q23 ที่ 1.87 พันลบ. (+7% YoY, 12% QoQ) จาก credit cost ที่ลดลง และสินเชื่อเติบโต 15% YoY หนุนโดยการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจากการบริโภคและการท่องเที่ยวฟื้น รวมถึงธุรกิจใหม่อย่างสินเชื่อจำนำทะเบียน
1.2) CHAYO ราคาพื้นฐาน 10.10 บาท จากแนวโน้ม cash collection ที่ดีต่อเนื่องใน 1Q23 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่คาดว่ากำไรปี 2023 จะโต 50% YoY เป็น 451 ลบ.หนุนจากการขายทรัพย์ชิ้นใหญ่
1.3) AMATA ราคาพื้นฐาน 26.50 บาท คาดกำไรปกติปี 2023 เติบโต 11% YoY เป็น 1.65 พันลบ. ขณะที่ AMATA ตั้งเป้ายอดขายที่ดินปีนี้โต 50% YoY เป็น 2,250 ไร่หนุนจากการย้ายฐาน และความเชื่อมั่นภาคเอกชนฟื้นตัวหลังเลือกตั้งกลางปี
2.) กลุ่ม Defensive ที่จะช่วยลดความผันผวน/ความเสี่ยงของพอร์ทการลงทุนรวม แนะนำ
2.1) AOT ราคาพื้นฐาน 73.50 บาท มีค่า beta 0.7x ได้ประโยชน์จากแนวโน้มนักท่องเที่ยวที่คาดว่าเร่งตัวขึ้นใน 2Q23 โดยเฉพาะจากกลุ่มทัวร์จีนหลังจำนวน flight บินมากขึ้นและตั๋วถูกลง
2.2) CK ราคาพื้นฐาน 33.34 บาท มีค่า beta 0.5x คาดงานโครงการรัฐฟื้นตัวหลังเลือกตั้งกลางปี รอรถไฟฟ้าสายสีส้มอนุมัติ หนุน upsides มากกว่า 50% จาก backlog ปี 66 ที่ = 5.3 เท่า ของปี 62 และสูงสุดเป็นประวัติการณ์, กำไรปกติปี 66/67 = 1.8/7.3 เท่า และ MV/EV ปัจจุบันอยู่ที่ 1.16/1.27 เท่า นอกจากนี้ด้วยโมเมนตัมกำไรที่ดี และรายได้จากบริษัทในเครือที่สูงขึ้น ทำให้คาดว่าหุ้นจะเทรดด้วย holding discount ที่ลดลง
2.3) BBL ราคาพื้นฐาน 180 บาท มีค่า beta 0.8x คาดกำไร 1Q23 ที่ 8.8 พันลบ เติบโต 16.5%QoQ และ 24% YoY มองได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และส่วนต่างดอกเบี้ยที่ขยายตัวต่อจากคาดการณ์ กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 25bps. ในเดือน พ.ค.
3.) กลุ่มพลังงาน แนะนำ PTTEP ราคาพื้นฐาน 172 บาท เพื่อ hedge กับทิศทางราคาน้ำมันดิบที่คาดว่าจะปรับตัวขึ้นทดสอบระดับ U$90/bbl
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick
- KTB (ราคาพื้นฐาน 20.40 บาท) KTB รายงานกำไรไตรมาส 1/2566 สูงสุดทำสถิติใหม่ที่ 1.01 หมื่นลบ. (+24% QoQ และ 15% YoY) สูงกว่าคาด 14% จากรายได้ที่แข็งแกร่ง PPOP สูงกว่าคาดและทำสถิติสูงสุดใหม่เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น KTB ควบคุม NPL ได้ดีที่ 4.0% ในไตรมาส 1/2566 โดยมี coverage ratio ดีขึ้นเป็น 177% เราคาดว่ากำไรไตรมาส 2/2566 จะยังคงเติบโตแข็งแกร่ง YoY จาก NIM ที่กว้างขึ้นเป็นหลัก
- SHR (ราคาพื้นฐาน 6.03 บาท) โรงแรม Outrigger Mauritius ของ SHR ใน Mauritius ถูกสั่งปิดชั่วคราวเป็นเวลาสองถึงสามเดือน (เม.ย.-มิ.ย.) เนื่องจากพบแบททีเรีย Legionella ที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินทางปอด การติดต่อนั้นผ่านทาง การสูดหายใจเอาเชื้อที่ปนเปื้อนอยู่ในละอองฝอยของน้ำ เช่น ระบบปรับอากาศ หรือ อ่างน้ำวนซึ่งยังไม่พบว่าเชื้อสามารถต่อจากคนสู่คน และสามารถรักษาหายได้ด้วยยาปฎิชีวนะ เบื้องต้นเราคาดว่าจะมีการปิดโรงแรม 2-3 เดือนเพื่อจักการเรื่องระบบบำบัดน้ำในโรงแรม ทั้งนี้ช่วงเดือน เม.ย.-มิ.ย. เป็นช่วง low season ของการท่องเที่ยวใน Mauritius อยู่แล้ว (ปกติผลการดำเนินงานในไตรมาศ 2 ที่ Mauritius จะขาดทุน) เรามองว่าการถูกสั่งปิดโดยรัฐบาลอาจจะนำมาซึ่งการให้เงินสนับสนุนและเงินช่วยเหลือกับผู้ประกอบการโรงแรมด้วย นักวิเคราะห์ของทาง KS ประเมินผลกระทบต่อกำไรปี 2023 (Potential downsides) 5-7ล้านบาท จากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งถือว่าน้อยมาก (ไม่เกิน 1.5%) เมื่อเทียบกับกำไรที่คาดการณ์ปี 2023 ที่ 456 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาแล้วมากกว่า 20% จากระดับ 4.70 บาท เปิดโอกาสในการเข้าลงทุน
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันพฤหัสฯ ติดตาม ตัวเลขส่งออกของญี่ปุ่น เดือน มี.ค. คาด +2.6% YoY (เทียบเดือนก่อนหน้าที่ 6.5% YoY) ตัวเลขดุลการค้าของญี่ปุ่นเดือน มี.ค. คาด -Y1295bn (เทียบเดือนก่อนที่ -Y898bn) ตัวเลข Loan Prime Rate ของจีน 1 ปี และ 5 ปี คาดคงดอกเบี้ยที่ 3.65% และ 4.3% ตามลำดับ ตัวเลข PPI เดือน มี.ค. ของเยอรมัน คาด -0.4% MoM และ +9.9% YoY (ลดลงจาก +15.8% YoY เดือนก่อน) ตัวเลข Consumer Confidence Flash ของยูโรโซนเดือน เม.ย. คาด -18.5 จุด (เทียบเดือนก่อนหน้าที่ -19.2 จุด) ตัวเลข Initial Jobless Claim ของสหรัฐฯ รายสัปดาห์คาด +240K (เทียบสัปดาห์ก่อนหน้าที่ +239K) ตัวเลข Existing home sales ของสหรัฐฯ เดือน มี.ค. คาด 4.4mn (-4.2% MoM) และถ้อยแถลงของ Fed Waller
- วันศุกร์ ติดตาม ตัวเลขเงินเฟ้อญี่ปุ่นเดือน มี.ค. คาด 3.2% YoY (เทียบเดือนก่อนหน้าที่ 3.3% YoY) ตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐาน เดือน มี.ค. คาด +3.1% YoY (ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า) ตัวเลข Retail sales ของอังกฤษเดือน มี.ค. คาด -0.5% MoM และ -3.1% YoY ตัวเลข S&P Global Manufacturing PMI Flash ของเยอรมัน เดือน เม.ย. คาด 45.6 จุด (เทียบเดือนก่อนหน้าที่ 44.7 จุด) ตัวเลข S&P Global Manufacturing PMI Flash ของยูโรโซน เดือน เม.ย. คาด 48 จุด (เทียบเดือนก่อนหน้าที่ 47.3 จุด) S&P Global Service PMI Flash ของยูโรโซน เดือน เม.ย. คาด 54.5 จุด (เทียบเดือนก่อนหน้าที่ 54 จุด) ตัวเลข S&P Global Manufacturing PMI Flash ของสหรัฐฯ เดือน เม.ย. คาด 49 จุด (เทียบเดือนก่อนหน้าที่ 49.2 จุด) S&P Global Service PMI Flash ของสหรัฐฯ เดือน เม.ย. คาด 51.5 จุด (เทียบเดือนก่อนหน้าที่ 52.6 จุด) และถ้อยแถลงของ Fed Cook