บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action TRADING (Downgrade)
TP upside (downside) +3.9%
Close Apr 20, 2023 Price (THB) 7.75
12M Target (THB) 8.05
Previous Target (THB) 9.30
What’s new?
- คาดกำไรสุทธิ 1Q66 อยู่ที่ 168 ล้านบาท (+43.0%QoQ, -12.7%YoY) ปรับตัวลง YoY หลักๆ มาจาก GPM ที่ลดลงเป็น 24% ซึ่งเป็นผลของต้นทุนการผลิตอย่างใยหิน และปูนซีเมนต์ปรับตัวสูงขึ้น
Our view
- เราปรับคำแนะนำ จาก “ซื้อ” เป็น “TRADING” เป็นผลจากการปรับลด PE ลงจาก 14 เท่า เป็น 12 เท่า (-0.5 S.D.) เนื่องจากมองว่าภาพของอุตสาหกรรมยังไม่สดใส ประกอบกับมีความเสี่ยงที่ต้นทุนอาจปรับตัวลงช้ากว่าที่คาด ได้ราคาเหมาะสม ใหม่ที่ 8.05 บาท/หุ้น
- แนวโน้ม 2Q66 เบื้องต้นเราคาดลดลง QoQ จาก i) ปัจจัยฤดูกาล ii) สภาพอากาศที่ร้อนกว่าปกติ ส่งผลกระทบในเรื่องของความล่าช้าในการติดตั้งหลังคา และส่งมอบงาน iii) ต้นทุนการผลิตยังอยู่ในระดับสูง
DIAMONDBUILDING PRODUCTS ยังถูกกดดันจากต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น
แนวโน้มผลประกอบการ 1Q66 โต QoQ แต่ปรับตัวลง YoY คาดกำไรสุทธิ 1Q66 โต 43.0%QoQ แต่ลดลง 12.7%YoY อยู่ที่ 168 ล้านบาท สาเหตุที่ลดลง YoY แม้รายได้จะเติบโตได้ดีคาดที่ 1,517 ล้านบาท (+21.5%QoQ, +10.0%YoY) ได้แรงหนุนหลักจากลูกค้าโครงการที่โตสูงสองหลัก ส่วนลูกค้าเอเย่นต์และโมเดิร์นเทรดเติบโตหลักเดียว แต่ถูกกดดันจาก GPM ที่ลดลงเป็น 24% หลุดกรอบเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งไว้ 25%-27% และลดลงจาก 1Q65 ที่ระดับ 29% ซึ่งเป็นผลของต้นทุนการผลิตอย่างใยหิน และปูนซีเมนต์ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ SG&ASales ลดลงเล็กน้อยเป็น 10.2% จาก 1Q65 ที่ 11.1% เป็นผลของการบริหารจัดการต้นทุนอื่นได้ดี
ส่วน QoQ ผลประกอบการฟื้นตัวตามปัจจัยฤดูกาลที่เป็นช่วง High Season ของธุรกิจก่อสร้าง รวมทั้งได้แรงหนุนจากการปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัยของผู้ประกอบการโรงแรม-รีสอร์ทเพื่อต้อนรับการกลับมาของนักท่องเที่ยว
แนวโน้มผลประกอบการ 2Q66 ชะลอตัวลง QoQ
แนวโน้ม 2Q66 เบื้องต้นเราคาดว่าผลประกอบการจะลดลง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลที่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์จํานวนมาก ประกอบกับสภาพอากาศที่ร้อนกว่าปกติ ส่งผลกระทบในเรื่องของความล่าช้าในการติดตั้งหลังคา และส่งมอบงาน ประกอบกับต้นทุนปูซีเมนต์ที่แนวโน้มราคายังปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เราคาดว่าบริษัทจะยังคงถูกดดันเรื่องอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ คาดรายได้ปี 2566 อยู่ที่ 5,591 ล้านบาท โต 6.9%YoY ได้แรงหนุนจากกลุ่มลูกค้าโครงการที่ฟื้นตัวดีตามภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของผู้ประกอบการบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่หลายราย ที่มองว่าตลาดในปี 2566 จะกลับมาฟื้นตัวเต็มกำลัง ทั้งจากความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นและสต็อกในตลาดที่เหลือน้อย (หลายบริษัทตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่จํานวนมากในปี 2566) ขณะที่ตลาดต่างประเทศคาดขยายตัวได้ดีหลังประเทศคู่ค้าเปิดประเทศเต็มที่ อย่างไรก็ดี อัตรากำไรขั้นต้นยังลดลงตามต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันผลประกอบการในปี 2566 คาดอยู่ที่ 572 ล้านบาท ลดลง 8.6%YoY
ปรับคําแนะนําเป็น “เก็งกำไร”
เราคงประมาณกำไรไว้ที่ 572 ล้านบาท แต่ปรับลด PE ลงเป็น 12 เท่า (-0.5 S.D.) จากเดิมที่ 14 เท่า เนื่องจากมองว่าภาพของอุตสาหกรรมยังไม่สดใส ประกอบกับมีความเสี่ยงที่ต้นทุนอาจปรับตัวลงช้ากว่าที่คาด ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 8.05 บาท/หุ้น เราจึงปรับลดคำแนะนำ จาก “ซื้อ” เป็น “TRADING”