บล.ทรีนีตี้

ธนาคารกสิกรไทย – KBANK

ซื้อ ราคาเป้าหมาย 158 บาท / Upside/Downside +25% / Median Consensus 165 บาท 

กำไร 1Q66 ใกล้เคียงคาด สำรองเผื่อสำหรับลูกหนี้รายใหญ่ไว้แล้ว

  • กำไร 1Q66 อยู่ที่ 10,741 ล้านบาท ดีขึ้น 237%QoQ แต่อ่อนตัว 4%YoY
  • ถือว่าใกล้เคียงคาด โดยกำไรฟื้นตัวแรง QoQ จากที่ตั้งสำรองค่อนข้างสูงใน 4Q65
  • ค่าใช้จ่ายสำรองใน 1Q66 แม้ลดลง แต่ยังเป็นระดับที่สูงกว่าช่วง 9M65 และเป้า
  • ส่วนลูกหนี้รายใหญ่มีความเสี่ยงสูงขึ้น แม้ยังไม่เป็น NPL ซึ่งธนาคารได้ตั้งสำรองล่วงหน้าเกือบเต็ม เพื่อรองรับความเสี่ยงไปแล้วในสำรองส่วนเกิน
  • ปรับลดประมาณการกำไรปี 66 ลงเล็กน้อย พร้อมปรับราคาเป้าหมายลงมาอยู่ที่ 158 บาท ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบไปแล้ว แต่ยังไม่เด่นเมื่อเทียบกลุ่มฯ

กำไร 1Q66 ใกล้เคียงคาด รายได้ลด แต่สำรองลดจากฐานสูงใน 4Q65

KBANK ประกาศกำไร 1Q66 ที่ 10,741 ล้านบาท ดีขึ้น 237%QoQ แต่อ่อนตัว 4%YoY ต่ำกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้าเล็กน้อยราว 2% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิอ่อนตัวราว 4%QoQ จากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นตามการขึ้นเงินนำส่ง FIDF และการปรับดอกเบี้ยเงินฝาก ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อเพิ่มขึ้นตามการปรับดอกเบี้ยเงินกู้ลอยตัวไม่มาก จากฐานเดิมที่สูงใน 4Q65 ที่สูงจากลูกหนี้ที่ออกจากมาตรการช่วยเหลือ ทำให้ NIM อ่อนตัวลงราว 16 bps ด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอ่อนตัวลงราว 12%QoQ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากกำไรจากการวัดมูลค่าเงินลงทุนที่ลดลง และกำไรจากธุรกิจประกันภัยที่ลดลง ด้านค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ลดลงจากฐานสูงใน 4Q65 ราว 44%QoQ แต่ด้วยระดับ Credit Cost ที่ 215 bps ถือว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับช่วง 9M65 และสูงกว่าเป้าหมายที่ทางธนาคารให้ไว้ที่ 175-200 bps ด้านสัดส่วนของธนาคาร NPL Coverage Ratio อยู่ที่ 146% สูงขึ้นเล็กน้อย QoQ ด้านความเสี่ยงจากลูกหนี้รายใหญ่รายหนึ่งเพิ่มขึ้น แม้ปัจจุบันยังไม่เป็น NPL แต่ธนาคารได้มีการตั้ง สำรองสำหรับลูกหนี้รายนี้ไว้เกือบเต็มวงเงินในกรณีที่ไม่คิดมูลค่าหลักประกัน โดยใส่อยู่ในสำรองส่วนเกิน (Management Overlay)

แม้ตั้งสำรองลูกหนี้รายใหญ่ไปแล้ว แต่สำรองหนี้ยังอาจกดดันกำไรปี 66

เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2566 ลงเล็กน้อยราว 1.3% จากประมาณการก่อนหน้ามาอยู่ที่ 40,449 ล้านบาท (+13%YoY) โดยปรับเพิ่มประมาณการสำรองหนี้มาอยู่ที่ 200 bps จากเดิมคาดที่ 185 bps เนื่องจากผู้บริหารให้มุมมองว่าค่าใช้จ่ายสำรองหนี้จะยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะมีการตั้งสำรองส่วนเกินเพื่อรองรับความเสี่ยงจากลูกหนี้รายใหญ่ไว้เกือบเต็มจำนวนแล้วก็ตาม แต่ในอีกด้านหนึ่งเราได้มีการปรับเพิ่มประมาณการ NIM จากแนวโน้ม NIM ในช่วงที่เหลือของปีที่อาจปรับตัวดีขึ้นจาก 1Q66 ได้

ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว แต่ยังน่าสนใจน้อยกว่ากลุ่มฯ

เราปรับลดราคาเป้าหมายปี 2566 ลงเล็กน้อยตามการปรับลดประมาณการกำไรมาอยู่ที่ 158 บาท อิง PBV 0.7 เท่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” มองราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงมาได้สะท้อนปัจจัยลบจากลูกหนี้รายใหญ่ไปแล้ว เนื่องจากธนาคารได้ตั้งสำรองเผื่อไว้แล้ว ซึ่งจะไม่กระทบกำไรในอนาคต แต่ในภาพรวมแนวโน้มคุณภาพหนี้ยังไม่ดีเท่ากับกลุ่มฯ

ความเสี่ยง: การชะลอตัวของเศรษฐกิจ / คุณภาพหนี้ที่แย่ลง

- Advertisement -