บล.บัวหลวง:
Plan B Media (PLANB TB/PLANB.BK)
PLANB – พร้อมรอข่าวดี
เนื่องจากทาง PLANB ให้เป้าหมายที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ตลาดจึงมีความคาดหวังที่ต่ำมากแล้ว ซึ่งทุกข่าวเชิงบวกที่จะเข้ามา เช่น การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง หรือจํานวนนักท่องเที่ยวที่มากกว่าคาด จะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นให้ปรับตัวขึ้น
PLANB เกาะธีมการเลือกตั้ง
ตั้งแต่จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในเดือน ก.ย. 2557 PLANB ผ่านช่วงการเลือกตั้งของประเทศไทยเพียง 1 ครั้ง โดยเราคาดว่าการเลือกตั้งที่จะมาถึงในวันที่ 14 พ.ค. นี้จะส่งผลบวกต่อราคาหุ้น อิงจากการปรับตัวขึ้นของ ราคาหุ้นในช่วงการเลือกตั้งล่าสุดในเดือน มี.ค. 2562 ซึ่งการเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินในระบบช่วงการเลือกตั้งจะหนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มชุมชนระดับรากหญ้า เมื่อดูจากช่วงการเลือกตั้งปี 2562 ราคาหุ้นของ PLANB เพิ่มขึ้น 8% ในเดือนก่อนการเลือกตั้ง และเพิ่มขึ้นอีก 34% ในช่วงสามเดือนหลังจากนั้น โดยนัย คือ ธีมการเลือกตั้งมีบทบาทในการผลักดันราคาหุ้นให้ปรับตัวขึ้น
เราคาดว่าอัตราการใช้สื่อของ PLANB จะเพิ่มขึ้นจาก 52% ในไตรมาส 1/65 เป็น 63% ในไตรมาส 1/66 จากการฟื้นตัวของเม็ดเงินโฆษณา (แต่ลดลงจาก 72% ในไตรมาส 4/65 จากฤดูกาล) สังเกตว่ามูลค่าสื่อโฆษณาของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 1.9 พันล้านบาทในไตรมาส 1/65 มาเป็น 2.2 พันล้านบาทในไตรมาส 1/66 จากการซื้อสินทรัพย์ของ AQUA อย่างไรก็ตาม ค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นถูกกดดัน โดยเราคาดกําไรที่ 125 ล้านบาท สําหรับไตรมาส 1/66 เพิ่มขึ้น 20% YoY แต่ลดลง 48% QoQ
ความคาดหวังของตลาดถูกรีเซ็ต
PLANB ตั้งเป้าหมายรายได้ที่ 7.2-7.5 พันล้านบาท สำหรับปี 2566 โดยบริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิที่ 10% เป้าหมายดังกล่าวดูจะค่อนข้างออกไปเชิงอนุรักษ์นิยม โดยหากสามารถทําได้จริงจะหมายถึงเป้าหมายกำไรที่ 720-750 ล้านบาท เติบโตในกรอบ 2-7% YoY หลังจากการประชุมนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุดของ PLANB เมื่อวันที่ 1 มี.ค. (เมื่อผู้บริหารประกาศเป้าหมายเหล่านี้ ราคาหุ้นก็ปรับตัวลงเกือบ 20% เราเชื่อว่าตลาดได้ปรับความคาดหวังต่อ บริษัทไปแล้ว กำไรที่ดีกว่าคาดหรือข่าวดีในอนาคตจะหนุนราคาหุ้นให้ปรับตัวขึ้น นอกจากนี้ เราคาดว่าไตรมาส 1/66 จะเป็นไตรมาสที่อ่อนแอที่สุดของปีของบริษัท และกำไรจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/66 ตลอดไปจนไตรมาส 4/66
โตไปกับธีมการเปิดเมือง
PLANB ตั้งเป้าเพิ่มรายได้การตลาดแบบมีส่วนร่วม 30% ไปเป็น 1.7 พันล้านบาท ในปี 2566 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่น่าจะทําได้ โดยอิงจากความนิยมของกีฬาตู้มวยในหมู่นักท่องเที่ยว ซึ่งโดยทั่วไปคิดเป็น 65% ของผู้ชม ในเดือน พ.ย.-ธ.ค. เวทีมวยราชดำเนินดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเฉลี่ย 400 คนต่อวัน คิดเป็น 0.5% ของจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยทั้งหมด หากจํานวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปี 2566 รายได้จาก ธุรกิจมวยก็อาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเช่นกัน บนสมมุติฐานที่ความจุสูงสุด 4,000 ที่นั่งต่อวัน และอัตราการเข้าชม 50% รายได้ระยะยาวที่เกิดจากการขายตั๋วเพียงอย่างเดียวอาจสูงถึง 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ธุรกิจสื่อในสนามบิน คาดว่าจะกลับมาแข็งแกร่งจากการได้งานสื่อโฆษณาเพิ่มขึ้น 75 ล้านบาท/ปี