ผู้ถือหุ้น PTG ไฟเขียวจ่ายเงินปันผลปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาทต่อหุ้น ตอกย้ำผลการดำเนินงานแกร่งต่อเนื่อง กำหนดจ่ายปันผลวันที่ 19 พ.ค. นี้ พร้อมตั้งเป้าปีนี้ EBITDA เติบโต 8-12%

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (บริษัท หรือ PTG) เปิดเผยว่า ที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2566 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 ผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2565 จากผลการดำเนินงานนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท ด้วยจำนวน 1,670 ล้านหุ้น รวมเป็นเงินปันผลจำนวนทั้งสิ้น 334 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิของบริษัท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัท โดยจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อปรากฏอยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ วันที่ 10 มีนาคม 2566 ซึ่งเป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 19 พฤษภาคม 2566

ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงระยะเวลา 9 เดือน ของปี 2565 (นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท ด้วยจำนวน 1,670 ล้านหุ้น รวมเป็นเงินปันผลระหว่างกาลจำนวนทั้งสิ้น 334 ล้านบาท ซึ่งได้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 โดยเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลดังกล่าวจะทำให้เงินปันผล ประจำปี 2565 รวมเป็นอัตราหุ้นละ 0.40 บาท รวมเป็นเงินปันผลประจำปี 2565 ทั้งสิ้นจำนวน 668 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทไม่ต้องจัดสรรกำไรสุทธิเป็นทุนสำรองตามกฎหมาย เนื่องจากทุนสำรองของบริษัทมีจำนวนครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว

สำหรับผลการดำเนินงานปี 2566 คาดว่ามีแนวโน้มสดใสต่อเนื่อง บริษัทตั้งเป้ากำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโต 8-12%จากปีก่อนที่อยู่ในระดับสูงกว่า 5,000 ล้านบาท เป็นไปตามสัดส่วนกำไรขั้นต้นของธุรกิจ Non-Oil ที่เพิ่มขึ้น หรือมาอยู่ที่ 20-30% จากปีก่อนที่ 18.5% และธุรกิจค้าปลีกน้ำมันคาดปริมาณการจำหน่ายน้ำมันจะเติบโต 8-12% จากปีก่อนทำได้ 5,316 ล้านลิตร และปริมาณการขายก๊าซ LPG เติบโต 40-60% ตามดีมานด์ที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวหลังจากที่หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ

ส่วนธุรกิจ Non-Oil คาดว่ายอดขายจะเติบโตพุ่งถึง 80-90% ตามการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทวางงบลงทุนรวมไว้ที่ 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ขยายธุรกิจ Non-Oil ราว 2,000-2,500 บาท เพื่อรองรับการขยายสาขาร้านกาแฟพันธุ์ไทย และ คอฟฟี่ เวิลด์ เพิ่มเป็น 1,523 สาขา, ร้านสะดวกซื้อ Max Mart เพิ่มเป็น 369 สาขา, ร้านจำหน่ายก๊าซLPG บรรจุถัง (Gas Shop) เพิ่มเป็น 323 สาขา และสถานีอัดบรรจุไฟฟ้า (EV Charging) เพิ่มเป็น 65 จุดชาร์จ เป็นต้น

- Advertisement -