Daily Focus: Domestic and Earnings Play
2023SET Target: 1700
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงแรงผิดคาดจากที่ประเมินว่าจะแกว่งตัวออกข้าง ดัชนีปิดลบ 17.67 จุด ณ สิ้นวันตาม Sentiment ลบจากต่างประเทศจากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวที่กลับมากดดันอีกครั้ง สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 537 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเร่งขึ้นเป็น 1.7 พันลบ. (และ Short Index Futures 1.1 หมื่นสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index ยังมีแนวโน้มอ่อนตัวลงต่อเนื่อง หลังหลุดแนวรับ 1,550+- จุดวานนี้ โดยมีแนวรับหลักถัดไปที่ Low เดิมบริเวณ 1,500-1,520 จุด ปัจจัยกดดันยังมาจากฝั่งต่างประเทศ จากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยปลายสัปดาห์ต้องติดตามตัวเลข GDP 1Q23 ของทั้งสหรัฐฯและยูโรโซน รวมถึงเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่างหุ้น เข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงต่ำอย่างพันธบัตรชัดเจน สะท้อนผ่าน Bond Yield ที่ปรับลง รวมถึงสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ อย่างไรก็ตาม หุ้น Domestic Play โดย เฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าบริการจำเป็นยังสามารถเคลื่อนไหวได้แข็งแรงกว่าตลาด และคาดมีแนวโน้มผลการดำเนินงานทยอยฟื้นตัวใน 1Q23 เป็นต้นไป ตามทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่ภาพรวมการเติบโตในฝั่งเอเชียยังดูแข็งแกร่งกว่าฝั่งตะวันตก ทำให้คาดว่าตลาดหุ้นเอเชียจะมี Downside จำกัดกว่า นอกจากนี้หากผลการเลือกตั้งของไทยออกมาในเชิงบวก โดยมีแนวโน้มจัดตั้งรัฐบาลใหม่อย่างมีเสถียรภาพได้จะเป็นปัจจัยหนุนตลาดฯ ใน 2H23- 2024 เราจึงยังเน้นลงทุนในหุ้น Domestic Play เป็นหลักเช่นเดิม ระยะสั้นเน้นเลือกเก็งกำไรหุ้นที่คาดกำไร 1Q23 แข็งแกร่ง
กลยุทธ์ : ยังเน้นลงทุนหุ้น Domestic และคาดกำไร 1Q23 แข็งแกร่ง//ทยอยสะสมหุ้นเพิ่มที่ฐาน 1,500-1,520+- จุด
หุ้นเด่นเดือน เม.ย. : AOT, BA, BGRIM, CPN, MAKRO
หุ้นเด่นวันนี้ : BDMS
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายเบื้องต้น 34.50 บาท
- คาดกำไรปกติ 1Q23 +7% q-q และลดลงเพียง -3% y-y ทั้งที่ 1Q22 ฐานสูง จากรายได้รวมที่คาดเติบโต +3% q-q, +6% y-y จากรายได้ของผู้ป่วยต่างชาติที่คาดโตแรง 15-20% q-q และ 40-50% y-y สูงกว่าช่วงก่อน COVID-19 ราว 8% หนุนด้วยผู้ป่วยจาก CLMV และ Expat ขณะที่รายได้จากผู้ป่วยไทย -7% Y-Y เพราะฐานสูง
- ภาพรวมทั้งปี 2023 เราคาดรายได้ +7% ใกล้เคียงเป้าของผู้บริหารคาดกําไร +7% y-y และอาจมี upside ปัจจัยหนุนคือผู้ป่วยชาวจีนและซาอุดิอาระเบียและ EBITDA Margin ที่มีโอกาสทำได้ดีกว่าคาด และเป็นแหล่งพักเงินที่ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
- แนวรับ 29//27.75-27 บาท แนวต้าน 30.50-31//32 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคหนาแน่น US$838 ล้าน กระจุกตัวที่ไต้หวัน US$706 ล้าน ส่วนเกาหลีใต้ไหลออกเล็กน้อย US$73 ล้าน ขณะที่อาเซียนเม็ดเงินไหลออกเช่นกัน นำโดยไทย US$50 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าว่ายังไหลออกต่อเนื่อง แต่ปริมาณบางลง ปัจจัยสำคัญที่ยังรอติดตามคือตัวเลข GDP 1Q23 ของทั้งสหรัฐฯและยูโรโซน รวมถึงเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ปลายสัปดาห์ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) SC คาดกำไรปกติ 1Q23 ที่ 530 ลบ. -43% q-q จากปัจจัยฤดูกาลและฐานที่สูงใน 4Q22 แต่ +37% y-y จากการรับรู้ยอดโอนจากโครงการ Low-rise และคอนโด 3 แห่งที่ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน ส่วนด้าน Margin คาดยังอยู่ในระดับที่ดี แนวโน้ม 2Q23 คาดเร่งตัวขึ้นตามจำนวนการเปิดโครงการใหม่ และดีต่อเนื่องใน 2H23 อย่างมีนัยยะ คงประมาณการกำไรปี 2023 ที่ 2.6 พันลบ. +3% y-y และเตรียมขึ้น XD วันที่ 2 พ.ค. จ่ายปันผลงวด 2H22 ที่ 0.17 บาท/หุ้น คงราคาเป้าหมาย 5 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(+) RBF คาดกำไร 1Q23 ที่ 145-150 ลบ. ดีกว่าคาดการณ์เดิมที่ 135 ลบ. จาก Margin ที่ฟื้นดีกว่าคาด +55% q-q, -8% y-y ต้นทุนวัตถุดิบลดลงและ Product Mix จากรายได้สินค้ากลุ่ม Flavor & Fragrance กลับมาฟื้นตัวตามกลุ่มเครื่องดื่ม เพราะเริ่มออกสินค้าใหม่กันมากขึ้น หนุนรายได้รวมฟื้นตัวและจะรับรู้รายได้จากอินเดียเพิ่มขึ้น เราคาดหวังฟื้นตัวของกำไรต่อใน 2Q23 และ 2H23 ล่าสุดได้เข้าซื้อที่ดินในอินเดียแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างออกแบบ เพื่อเตรียมก่อสร้างโรงงาน ซึ่งอาจแล้วเสร็จในช่วง 1H24 ถือว่าเร็วกว่าที่เคยคาด และจะเป็น Key Driver สําหรับการเติบโตในปี 2024-2025 ยังคาดกำไรปี 2023 ที่ 664 ลบ. +38% y-y คงราคาเป้าหมายที่ 13.50 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(+) MGC เข้าเทรดวันนี้ เป็นตัวแทนจำหน่ายยานยนต์ Rolls-Royce BMW MINI บิ๊กไบค์ และมารีน พร้อมกับธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น ศูนย์บริการ บริการเช่ารถยนต์ สินเชื่อ และประกัน จุดเด่นของบริษัทคือการสร้าง Ecosystem และ Synergy ในแต่ละธุรกิจ เราประเมินกำไรปี 2023 เติบโตแข็งแกร่ง +21% y-y ในปี 2023 หนุนจากยอดขายรถยนต์ในประเทศที่คาดฟื้นตัว ได้ +3.6% y-y รวมถึงการเริ่มธุรกิจใหม่ๆ เช่น ตัวแทนจำหน่ยเรือแม่น้ำ ธุรกิจสินเชื่อ รวมไปถึงการขยายสาขาตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการ ประเมินราคาเป้าหมาย 10.70 บาท
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 344.57 จุด หรือ -1.02% ปิดที่ 33,530.83 จุด จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หลังจากบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่อย่างยูไนเต็ด พาร์เซล เซอร์วิส (ยูพีเอส) รายงานผลประกอบการที่อ่อนแอ นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพในภาคธนาคาร หลังมีรายงานว่าลูกค้าแห่ถอนเงินจํานวนมากออกจากธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลดลง ขณะที่ตลาดหุ้นสเปนร่วงลงหนักที่สุดในรอบ 1 เดือน โดยหุ้นธนาคารซานทานแดร์นำหุ้นกลุ่มธนาคารอื่นๆ ร่วงลง ท่ามกลางผลประกอบการที่อ่อนแอของกลุ่มธนาคาร
(-) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพในภาคธนาคารของสหรัฐ
(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 34.35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 1.69 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 77.07 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจชะลอตัว การแข็งค่าของดอลล่าร์ และความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ย นโยบายของธนาคารกลางหลายแห่ง ในขณะที่เช้านี้รีบาวน์ที่ระดับ 77.41 ดอลลาร์/บาร์เรล +0.44%
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 4.7 ดอลลาร์ หรือ 0.24% ปิดที่ระดับ 2,004.50 ดอลลาร์/ออนซ์ จากการเข้าซื้อทองค่าในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและเสถียรภาพภาคธนาคาร ในขณะที่ เช้านี้ปรับขึ้นต่อที่ระดับ 2,008.80 ดอลลาร์/ออนซ์ +0.21%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 930.03 / +2.60