บล.บัวหลวง:
SCG Packaging (SCGP TB/SCGP.BK)
SCGP – กำไรไตรมาส 1/66 สูงกว่าตลาดคาด; แนวโน้มเติบโต QoQ ในไตรมาส 2/66
ต่ำกว่าที่เราคาด แต่สูงกว่าตลาดคาด
SCGP รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 1,220 ล้านบาท ลดลง 26% YoY แต่เพิ่มขึ้น 172% QoQ หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 153 ล้านบาท กําไรหลักจะอยู่ที่ 1,067 ล้านบาท ลดลง 36% YoY แต่เพิ่มขึ้น 24% QoQ ผลประกอบการต่ำกว่าที่เราคาด 12% เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่มากกว่าคาด แต่สูงกว่าที่ตลาดคาด 7%
ประเด็นสําคัญจากผลประกอบการ
ปัจจัยที่กดดันกำไรหลักให้ปรับตัวลดลง YoY ได้แก่ 1) ยอดขายที่ลดลงของธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (ปริมาณขายและราคากระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ลดลงเนื่องจากอุปสงค์ที่ลดลงในจีน), 2) ดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น, 3) ค่าใช้จ่าย ในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 12.5% จาก 10.9% ในไตรมาส 1/65, และ 4) อัตราภาษีจ่ายที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ปัจจัยที่หนุนกำไรหลักให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น QoQ ได้แก่ 1) ยอดขายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นหุนนจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวจากการเปิดประเทศจีน), 2) EBITDA margin ของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรที่ขยายตัว, และ 3) อัตราภาษีจ่ายที่ลดลง
EBITDA margin ของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรอยู่ที่ 14% ในไตรมาส 1/66 ทรงตัว YoY แต่เพิ่มขึ้นจาก 11% ในไตรมาส 4/65 ในขณะที่ EBITDA margin ของสายธุรกิจเยื่อและกระดาษอยู่ที่ 13% ปรับตัวขึ้นจาก 10% ในไตรมาส 1/65 และทรงตัว QoQ
แนวโน้ม
เมื่อมองไปยังไตรมาส 2/66 ปริมาณขายของ SCGP มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้น QoQ หนุนมาจากอุปสงค์ทั่วอาเซียนและจีนที่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม ราคากระดาษบรรจุภัณฑ์คาดว่าจะยังคงถูกกดดันเนื่องจากอุปทานที่มีจำนวนมาก ในขณะที่ราคาเยื่อกระดาษคาดว่าจะลดลง เนื่องจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวลง จากมุมมองด้านต้นทุนราคา RCP (วัตถุดิบหลัก), ค่าขนส่งและค่าพลังงานจะมีแนวโน้มปรับตัวลดลง QoQ ในไตรมาส 2/66 ในอัตราที่เร็วกว่าราคาผลิตภัณฑ์ จากแนวโน้มดังกล่าว เราคาดว่าอัตรากําไรและกำไรหลักของ SCGP จะปรับตัวเพิ่มขึ้น QoQ ในไตรมาส 2/66 อย่างไรก็ตาม กำไรหลักมีแนวโน้มลดลง YoY เนื่องจากปริมาณขายที่ลดลง YoY และอัตรากําไรที่ลดลง
สิ่งที่เปลี่ยนแปลง
เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ลง 40% มาอยู่ที่ 6,260 ล้านบาท เพื่อสะท้อนปัจจัยดังนี้ 1) การปรับลดสมมติฐานปริมาณขายลง 8% และ 2) การปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น (จาก 21.3% มาอยู่ที่ 17.6%) ส่งผลให้ราคาเป้าหมายด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ณ สิ้นปี 2566 ลดลงจาก 74 บาท เป็น 62 บาท (WACC 7.7%, และ Terminal Growth 3.5%)
คําแนะนํา
แนวโน้มที่ดีขึ้น QoQ ในไตรมาส 2/66 น่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นต่อไป และอาจมีอัพไซด์ต่อประมาณการกำไร และมูลค่าหุ้นจากการลงทุนและ/หรือการเข้าซื้อกิจการใหม่ เรามองว่าราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงในช่วงที่ผ่านมาเป็นโอกาสในการสะสมหุ้น เราจึงคงคําแนะนํา “ซื้อ”