KS Daily View 27.04.2023 >>> ราคาน้ำมันลงแรงเป็นลบกับกลุ่มพลังงาน กำไร DELTA ต่ำคาด 10% SET คาดแกว่งตัวผันผวนในกรอบ 1,520-1,585 จุด หุ้นแนะนำวันนี้ PTG, TKN
สรุปภาวะตลาดเมื่อวันวานนี้
ต่างประเทศ: ดัชนี DJIA -0.68%, S&P 500 -0.38%, และ NASDAQ +0.47% โดยSector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ IT (+1.7%) และ Consumer discretionary (-0.38%) ส่วน Sector ที่ underperform ได้แก่ Utilities (-2.4%), Industrials (-1.9%), Healthcare (-1.4%), และ Energy (-1.3%)
ในประเทศ: SET Index +3.75 จุด (+0.24%) ปิดที่ 1,543.95 จุด หุ้นที่ปรับขึ้นแรง ได้แก่ JMART (+5.8%), BTS (+3.3%), TTB (+2.8%), และ KCE (+2.6%) เป็นต้น ส่วนหุ้นที่ปรับลงแรงได้แก่ TOP (-4.1%), SPRC (-4.0%), และ TQM (-3.9%) เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
เราประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยที่ 1,520 – 1,585 จุดในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ ภาพรวมยังถูกกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ ความเสี่ยง Recession ภาวะเครดิตที่ตึงตัวสะท้อนผ่านเงินฝากที่ไหลออกจากธนาคารขนาดกลางและเล็ก รวมถึงดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับสูง อย่างไรก็ตามตามตลาดได้ปรับมุมมองว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ย 75bps. ใน 2H23 (จากเดิมที่ 25-50bps.) ทำให้อาจเห็นการฟื้นตัวของตลาดได้ในระยะสั้น อย่างไรก็ตามความไม่แน่นอนในผลการเลือกตั้งของไทยยังเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเลือกตัดสินใจชะลอการลงทุนออกไปก่อน
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.) บริษัทส่วนใหญ่ใน S&P 500 รายงานผลประกอบการสูงกว่าที่คาดไว้ แต่ราคาหุ้นส่วนใหญ่ไม่ได้ react เชิงบวกมากนัก โดยตลาดได้มีการปรับลดคาดการณ์ทั้งปีลงประมาณ 15% ดังนั้นความจริงที่ว่ากำไร 1Q23 ออกมาดีกว่าคาด เพราะนักวิเคราะห์ทำตัวเลขค่อนข้าง conservative
2.) ค่าการตลาดน้ำมันมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อ โดยค่าการตลาดน้ำมันดีเซล และเบนซินในเดือน เม.ย. อยู่ที่ 1.87 บาท และ 2.33 บาทต่อลิตร ตามลำดับ สูงขึ้นจากระดับ 1.66 และ 2.13 บาทต่อลิตรใน 1Q23 เนื่องจากแรงกดดันจากภาครัฐลดลงสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (เฉพาะบัญชีน้ำมัน) อาจกลับคืนสู่ระดับสมดุล (เฉพาะบัญชีน้ำมัน) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลง และค่าการกลั่นที่ลดลงต่อ
3.) ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง -4.0% มาอยู่ที่ US$77.69 ต่อบาร์เรล จากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยแม้ตัวเลขน้ำมันดิบสำรองจะลดลงมากกว่าคาด (-5.1 ล้านบาร์เรล vs. est. -1.5 ล้านบาร์เรล) จะเป็นปัจจัยกดดันกลุ่มพลังงานในวันนี้ ขณะที่กลุ่ม Anti-commodity จะได้แรงหนุนจากเรื่องดังกล่าว
4.) มูลค่าการส่งออกของไทยเดือน มี.ค. -4.2% YoY หากหักส่งออกน้ำมัน ทองคำ และอาวุธ จะได้ตัวเลข +0.01% ดีกว่าคาดที่ -14.7% YoY สินค้าส่งออกที่ขยายตัวดีในเดือน มี.ค. ได้แก่ น้ำตาลทราย (+74% YoY), ผลไม้ (+94.5% YoY), ไก่ (+47.9% YoY), เครื่องปรับอากาศ (+27.4% YoY), หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ (+55.9% YoY) ชิ้นส่วนอิเล็กฯ (+4.6% YoY) เป็นต้น จากแรงหนุนของความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารจากประเทศคู่ค้าเพิ่มสูงขึ้น, การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และความต้องการสินค้าสำหรับใช้ในช่วงฤดูร้อน สินค้าส่งออกที่หดตัวต่อในเดือน มี.ค. ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง (-25% YoY), ยางพารา (-41% YoY), อาหารทะเลแปรรูป (-8% YoY), HDD (-14% YoY), เม็ดพลาสติก (-21% YoY), ถุงมือยาง (-26% YoY) เป็นต้น ปัจจัยกดดันมาจากภาคการผลิตโลกมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง และการส่งออกบางสินค้ามีความต้องการที่ลดลงจากการสั่งซื้อไปแล้วก่อนหน้านี้ และความต้องการลดลงหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย แม้ตัวเลขส่งออกสินค้าจะออกมาดีกว่าคาด แต่คิดว่าแนวโน้มงบ 1Q23 กลุ่มส่งออกโดยรวมจะไม่ค่อยดี เพราะ GPM อาจแย่ลงจากผลของการแข็งค่าของเงินบาท การลดราคาเพื่อระบาย inventory หรือต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ขณะที่กลุ่มที่ตัวเลขส่งออกไม่ดี มองว่าแนวโน้มมีโอกาสแย่ต่อได้เหมือนกันจากความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ดังนี้ให้ระวังตัวที่ valuation ยังแพงไป เช่น DELTA ขณะที่ตัวที่ราคาหุ้นก็ปรับตัวลงมาเยอะแล้วอาจ wait and see ไปก่อน ในเชิงกลยุทธ์ให้ Selective Buy ในหุ้นที่มองว่ากำไร 1Q23 จะ bottom out และฟื้นตัวใน 2Q23 เป็นต้นไป เช่น SCGP เป็นต้น หรืออาจ switch ไปที่กลุ่มที่เน้นการบริโภคในประเทศที่ การท่องเที่ยวและการลงทุนที่ฟื้นตัวหลังเลือกตั้ง
5.) หุ้นที่นักวิเคราะห์ KS ปรับคำแนะนำ/ราคาเป้าหมายวันนี้ ได้แก่ WARRIX, AAI, ASIAN, STEC
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
1.) หุ้นที่มีปัจจัยบวกหนุนหรือทิศทางผลประกอบเติบโต (Quality Growth) ได้แก่
1.1) AMATA ราคาพื้นฐาน 26.50 บาท คาดกำไรปกติปี 2023 เติบโต 11% YoY เป็น 1.65 พันลบ. ขณะที่ AMATA ตั้งเป้ายอดขายที่ดินปีนี้โต 50% YoY เป็น 2,250 ไร่หนุนจากการย้ายฐาน และความเชื่อมั่นภาคเอกชนฟื้นตัวหลังเลือกตั้งกลางปี
1.2) BE8 ราคาพื้นฐาน 69.08 บาท คาดกำไรปี 2566 ท่ี 302 ลบ. เติบโต 118% YoY หนุนโดยธุรกิจหลักเติบโตดีต่อ การรวมบัญชีทั้งปีของ X-10 และ Baycom ราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวลง -25% YTD มาเทรดที่ P/E ปี 2023 ที่ 37x vs. EPS growth ปี2023-24 ที่ 118% YoY/39% YoY ตามลำดับ
1.3) KLINIQ ราคาพื้นฐาน 48.10 บาท เราคาดว่ากำไรปกติไตรมาส 1/2566 จะอยู่ที่ 64 ลบ. เพิ่มขึ้น 6% QoQ และ 41% YoY ทำจุดสูงสุดใหม่ และแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปีตามการขยายสาขา
2.) กลุ่ม Defensive ที่จะช่วยลดความผันผวน/ความเสี่ยงของพอร์ทการลงทุนรวม แนะนำ
2.1) BH ราคาพื้นฐาน 237 บาท เก็งงบ 1Q23 ที่คาดว่าจะรายงานกำไรปกติที่ 1.53 พันลบ. โต 114% YoY มาจากรายได้และอัตรากำไรที่สูงขึ้นทำให้มีโอกาสที่หุ้นจะถูก rerate ไปเทรดระหว่างค่าเฉลี่ย P/E 31.7x กับ +1 S.D. ที่ 41.4x vs. EPS คาดการณ์ปีนี้ที่7.50 บาท
2.2) KTB ราคาพื้นฐาน 20.40 บาท กำไร 1Q23 โต 15% YoY และทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1 หมื่นลบ. vs. คาดการณ์ทั้งปีของเราที่ 3.6 หมื่นลบ. ขณะที่ ROE ปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 10% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่8.5% แต่ PBV ยังเทรดที่ 0.6x ต่ำกว่าคาดเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 0.65x
2.3) TRUE ราคาพื้นฐาน 10.32 บาท ได้ประโยชน์จากความต้องการสื่อสารที่เพิ่มขึ้นในช่วงเลือกตั้ง ขณะที่ปัจจัยหนุนราคาหุ้นจะมาจากการแข่งขันด้านราคาผ่อนคลายลงและ การพลิกฟื้นของกำไรอย่างรวดเร็วจาก synergies การควบรวม
3.) กลุ่ม พลังงาน แนะนำ PTTEP ราคาพื้นฐาน 172 บาท เพื่อ hedge กับทิศทางราคาน้ำมันดิบที่คาดว่าจะปรับตัวขึ้นทดสอบระดับ U$90/bbl
4.) กลุ่ม Turnaround play แนะนำ SCGP ราคาพื้นฐาน 49 บาท แม้กำไรปกติ 1Q23 จะอ่อนแอที่ 1.08 พันลบ. ลดลง37.2% YoY แต่เพิ่มขึ้น 72.4%QoQ และคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง QoQ ในช่วงที่เหลือของปีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
PTG (ราคาพื้นฐาน 16.20 บาท) คาดอัตรากำไรน้ำมันจะทรงตัวที่ระดับปัจจุบัน เนื่องจากกองทุนน้ำมันมีโอกาสกลับเข้าสู่โหมดสมดุลในอีก 3 เดือน แนวโน้มราคาน้ำมันที่ลดลง ต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น กำไรไตรมาส 1/2566 คาดว่าจะกลับสู่ระดับปกติ โดยไตรมาส 2/26 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากส่วนต่างราคาน้ำมันที่ดีขึ้น และอุปสงค์น้ำมันที่แข็งแกร่ง
TKN (ราคาพื้นฐาน 10.80 บาท) คาดกำไรปกติไตรมาส 1/66 ที่ 128 ลบ. (+123.5% YoY และ -14.1% QoQ) กำไรปกติไตรมาส 1/66 คิดเป็น 24.9% ของประมาณการทั้งปี 2566 ของเรา ขณะที่ YTD ราคาหุ้นลดลง 19% เทียบกับการอ่อนค่าของ SET ที่ 5.5% TKN ซื้อขายที่ PER 24 เท่า/22.7 เท่า/21.4 เท่า ในปี 2566/67/68 ซึ่งเทียบเท่ากับ -1SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันพฤหัสฯ ติดตาม ตัวเลข GDP 1Q23 ของสหรัฐฯ คาด +2% QoQ ตัวเลข Initial Jobless Claim ของสหรัฐฯ เดือน เม.ย. คาด +249K (เทียบสัปดาห์ก่อนที่ +245K) ตัวเลข Pending Home Sales เดือน มี.ค. คาด +1% MoM
- วันศุกร์ ติดตาม การประชุม BOJ ตัวเลข GDP 1Q23 ของยุโรป คาด +0.2% QoQ และ +1.3% YoY ตัวเลขเงินเฟ้อของเยอรมันเดือน เม.ย.คาด +7.2% YoY (เทียบเดือนก่อนหน้าที่ +7.4% YoY) ตัวเลข Core PCE Price Index ของสหรัฐฯ เดือน มี.ค. คาด +0.4% MoM ตัวเลข Personal Income ของสหรัฐฯ เดือน มี.ค. คาด +0.2% MoM และตัวเลข Personal Spending ของสหรัฐฯ เดือน มี.ค. คาด -0.1% MoM