บล.ทรีนีตี้:
ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป – TU
ชื้อ / ราคาเป้าหมาย 17 บาท / Upside/Downside +25% / Median Consensus 18.20 บาท
กําไร 1Q66 ต่ำกว่าคาด อาจเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนใน 2H66
- กำไร 1Q66 อยู่ที่ 1,022 ล้านบาท อ่อนตัว 17%QoQ และ 41%YoY ต่ำกว่าคาด
- ยอดขายอ่อนตัวลงค่อนข้างมาก เนื่องจากปริมาณสั่งซื้อลดลงหลังลูกค้าสต็อกสินค้าในไตรมาสก่อน บวกกับได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
- อัตรากำไรขั้นต้นลดลงค่อนข้างมาก โดยเป็นผลจากต้นทุนการผลิตต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้น หลังยอดขายอ่อนตัวลงบวกกับต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น
- ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้นหลัง Red Lobster เข้า High Season
- แนวโน้มกำไร 2Q66 อาจฟื้นตัวได้บ้าง QoQ แต่ยังมีปัจจัยกดดันด้านราคาวัตถุดิบอยู่ ซึ่งคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นใน 2H66
- ปรับประมาณการกำไรปี 66 ลง 21% สะท้อนกำไร 1H66 ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
- ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 17 บาท ราคาหุ้นยังมี Upside จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”
กำไร 1Q66 ต่ำกว่าคาด หลังมีปัจจัยกดดันหลายด้าน
TU ประกาศกำไรสุทธิ 1Q66 ที่ 1,022 ล้านบาท อ่อนตัว 17%QoQ และ 41%YoY ต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าราว 28% หลังมีปัจจัยกดดันหลายด้าน โดยในส่วนยอดขายออนตัวลง 18%QoQ และ 10%YoY ซึ่งเป็นจากใน 4Q65 ลูกค้ามีการสต็อกสินค้าค่อนข้างมาก ทำให้ปริมาณการสั่งซื้อสินค้าลดลง QoQ ขณะที่หากเทียบ YoY ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และยูโร ทำให้ยอดขายเมื่อแปลงเป็นเงินบาทลดลง ด้านอัตรากำไรขั้นต้น ลดลงเหลือ 15.1% จาก 17.3% ใน 4Q65 และ 17.5% ใน 1Q65 โดยส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากยอดขายที่อ่อนตัวลง ทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยเพิ่มขึ้น บวกกับต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะราคาทูน่า ด้านส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทรวมอยู่ที่ 231 ล้านบาท พลิกกลับจากที่มีส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทรวม 313 ล้านบาท ใน 4Q65 และขาดทุน 177 ล้านบาท ใน 1Q65 โดยหลักเป็นผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ Red Lobster เนื่องจากเป็น High Season ของธุรกิจ บวกกับเริ่มเห็นผลบวกจากการปรับปรุงการดำเนินงานภายใน
อาจเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นใน 2H66
เราคาด 2Q66 อาจเห็นกำไรฟื้นตัว QoQ ได้บ้าง แต่ยังไม่เต็มที่ เนื่องจากแม้ในด้านปริมาณการสั่งซื้อจะเริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมา หลังปริมาณการสั่งซื้อจากลูกค้าเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าจะยังเห็นราคาวัตถุดิบทนาที่อยู่ในระดับสูงเป็นปัจจัยกดดันอยู่ ทำให้คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นในช่วง 2H66 ด้วยแนวโน้มกำไรใน 1H66 ที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้เราปรับประมาณการกำไรปี 2566 ลงราว 21% จากประมาณการก่อนหน้าเหลือ 5,366 ล้านบาท (-25%YoY) โดยปรับลดประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นลงจาก 17.7% เหลือ 17.0% และปรับเพิ่มต้นทุนทางการเงินขึ้นอีกราว 100 bps ปรับลดราคาเป้าหมาย แต่ยังคงคำแนะนำ จากการปรับลดประมาณการกำไร จึงให้ราคาเป้าหมายปี 2566 ใหม่ที่ 17 บาท อิง PBV 1.1 เทา โดยราคาหุ้นยังมี Upside จากราคาเป้าหมาย บวกกับผลตอบแทนจากปันผลที่คาดปีละราว 4-5% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”
ความเสี่ยง: เงินเฟ้อกระทบอัตรากำไรของบริษัท