บล.บัวหลวง:
Jasmine Broadband Internet Infrastructure Fund (JASIF TB/JASIFU.BK)
JASIF – กำไรหลักเป็นไปตามคาด; คาดกำไรหลัก ไตรมาส 2/66 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย YoY
บรรทัดสุดท้ายต่ำกว่าคาด แต่กำไรหลักเป็นไปตามคาด
JASIF รายงานขาดทุนสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 1.43 พันล้านบาท หรือพลิกกลับจากกำไรสุทธิ 6.1 พันล้านบาทในไตรมาส 1/65 และขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้น 81% QoQ หากไม่รวมผลขาดทุนที่ยังไม่ได้รับรู้จริงจากการตีมูลค่าสายใยแก้วนำแสงใหม่จํานวน 3.7 พันล้านบาท ในไตรมาส 1/66 กำไรหลักในไตรมาสนี้อยู่ที่ 2.27 พันล้านบาท เติบโต 3% ทั้ง YoY และ QoQ ทั้งนี้ขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการตีมูลค่าสินทรัพย์ใหม่ในไตรมาส 1/66 ไม่ถูกนํามาคำนวณในการจ่ายเงินปันผลต่อหน่วยแต่อย่างใด ผลประกอบการบรรทัดสุดท้ายต่ำกว่าที่เราคาดก่อนหน้าเป็นกําไรสุทธิ 2.26 พันล้านบาท เนื่องจากรายการพิเศษขาดทุนจากการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ใหม่ที่ยังไม่รับรู้จริง (ซึ่งเราไม่ได้นำมารวมในประมาณการของเราก่อนหน้า) แต่กําไรหลักตรงตามคาด ทั้งนี้บริษัทประกาศเงินปันผลต่อหน่วยในไตรมาส 1/66 ที่ 0.23 บาท/หน่วย หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 81.1% (ของกำไรหลัก) ซึ่งตรงกับที่เราคาดก่อนหน้า
ประเด็นสําคัญจากผลประกอบการ
กําไรหลักที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย YoY เนื่องจากอัตราค่าเช่าที่เพิ่มขึ้น 3% ซึ่งไปอิงกับอัตราเงินเฟ้อในปี 2564 ที่ 6.08% และเนื่องจากอัตราค่าเช่าที่จะถูกนำมาใช้ ปี 2566 จะต้องไม่เกิน 3% หรือต่ำกว่า 0% ดังนั้นอัตราค่าเช่าที่ 3% จึงถูกนำมาใช้กับอัตราค่าเช่าเฉลี่ยสำหรับในปี 2566 รายได้ค่าเช่าในไตรมาสนี้อยู่ที่ 2.64 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% ทั้ง YoY และ QoQ (เนื่องจากอัตราค่าเช่าที่ปรับ ขึ้น 3%) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น 4% YoY (เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงและค่าสิทธิแห่งทางที่เพิ่มขึ้น) และ 24% QoQ (เนื่องจากมีการกลับรายการค่าสิทธิแห่งทางที่บันทึกเกินในไตรมาส 4/65) ค่าใช้จ่ายด้านกองทุนรวมในไตรมาสนี้ลดลง 4% YoY และ 30% QoQ (เนื่องจากค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนและค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ที่ลดลง)
แนวโน้ม
สําหรับไตรมาส 2/66 เราประมาณการรายได้ค่าเช่าที่ 2.64 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% YoY และทรงตัว QoQ และค่าไรหลักที่ 2.27 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% YoY และทรงตัว QoQ เราประมาณการเงินปันผลต่อหน่วยที่ 0.23 บาท/หน่วย ในไตรมาส 2/56 เราคาดอัตราการเติบโต 3% YoY จะถูกนำไปใช้กับรายได้ค่าเช่า และกําไรหลักในช่วงไตรมาส 3/66 ต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4/66 หากประมาณการแบบอนุรักษ์นิยม เรามองว่าเงินปันผลต่อหน่วยรายไตรมาสคาดว่าจะอยู่ที่ 0.23 บาท/หน่วย ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566
สิ่งที่เปลี่ยนแปลง
เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ลงอีก 41% (เหลือ 5.37 พันล้านบาท) เพื่อสะท้อนขาดทุนที่ยังไม่ได้รับรู้จริงจากการตีมูลค่าสายใยแก้วนำแสงใหม่จํานวน 3.7 พันล้านบาท แต่ไม่ว่าอย่างก็ตาม เรายังคงประมาณการกำไร หลักในปี 2566 ไว้เท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลงที่ 9.09 พันล้านบาท การคาดการณ์เหล่านี้อยู่บนสมมติฐานของอัตราเงินเฟ้อและอัตราค่าเช่าที่ 3% ในปี 2566 และ 0.5% ในปี 2567 และในปีต่อๆ ไป
ทั้งนี้ การประเมินมูลค่าหน่วยลงทุน ณ ปัจจุบันของเราสะท้อนให้เห็นว่าไม่มีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ปัจจุบันของสัญญาเช่า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขปัจจุบันของสัญญาเช่า เราจะประเมินราคาเป้าหมายด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) สำหรับ JASIF ใหม่อีกครั้ง
คําแนะนํา
เรายังคงมองเห็นความเสี่ยงด้านการดำเนินงานของ JASIF ที่เพิ่มสูงขึ้นทันทีที่กสทช. อนุมัติดีลซื้อ TTTBB ของ ADVANC ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมิ.ย. หรือก.ค. 2566 เนื่องจากจุดยืนของ ADVANC ชัดเจนว่าต้องการแก้ไขเงื่อนไข ณ ปัจจุบันของสัญญาเช่าของ JASIF สำหรับสัญญารับประกันรายได้ตัวเดิมและตัวใหม่เพิ่มเติม และสัญญาเช่าหลักสองฉบับ ซึ่งจะส่งผลให้กำไรและเงินปันผลต่อหน่วยของผู้ถือหุ้น JASIF มีแนวโน้มลดลงในระยะยาว เราจึงยังคงแนะนำเพียงแค่ “ถือ” สำหรับ JASIF โดยจะเห็นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นเมื่อ ADVANC กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ของ JASIF