บล.บัวหลวง:
Bangchak Corporation (BCP TB/BCP.BK)
BCP – ไตรมาส 1/65 สูงกว่าคาด; คาดไตรมาสหน้าอ่อนตัว
สูงกว่าที่เราและตลาดคาด
BCP รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 2,741 ล้านบาท ลดลง 37% YoY แต่เพิ่มขึ้น 480% QoQ หากไม่รวมรายการพิเศษกำไรหลักจะอยู่ที่ 3,331 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 371% YoY แต่ลดลง 8% QoQ ผลประกอบการสูงกว่าที่เราคาด 18% (และสูงกว่าที่ตลาด 8%) เนื่องจากค่าการกลั่นและค่าการตลาดสูงกว่าคาด
ประเด็นสําคัญจากผลประกอบการ
ปัจจัยหลักที่หนุนการเติบโตของก๋าไรหลัก YoY ได้แก่ 1) กำไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจโรงกลั่น, 2) กําไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน, 3) กำไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ, และ 4) อัตราภาษีจ่ายที่ลดลง ในขณะที่ปัจจัย หลักที่ส่งผลให้กำไรหลักปรับตัวลดลง QoQ ได้แก่ 1) กำไรที่ลดลงจากธุรกิจโรงกลั่น, 2) กำไรที่ลดลงจากธุรกิจไฟฟ้า, 3) กําไรที่ลดลงจากธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ, และ 4) อัตราภาษีจ่ายที่เพิ่มขึ้น อัตราการใช้กำลังการกลั่นอยู่ที่ 1.25 แสนบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 2% YoY และ 2% QoQ (อุปสงค์ปรับตัวดีขึ้น) ในขณะที่ค่าการกลั่นตลาด (market GRM) อยู่ที่ 11.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 67% YoY (ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ขยายตัว และต้นทุนน้ำมันดิบที่ลดลง) แต่ลดลง 22% QoQ (ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง) ปริมาณขายของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันอยู่ที่ 1,614 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 15% YoY แต่ลดลง 6% QoQ ในขณะที่ค่าการตลาดอยู่ที่ 0.93 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 29% YoY และ 15% QoQ ในขณะที่ EBITDA ของธุรกิจไฟฟ้าอยู่ที่ 852 ล้านบาท ลดลง 72% YoY และ 15% QoQ ขณะที่ EBITDA ของธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพอยู่ที่ 107 ล้านบาท ลดลง 69% YoY และ 26% QoQ และ EBITDA ของธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติอยู่ที่ 5,414 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% YoY และ 44% QoQ หนุนโดยปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น YoY และแนวโน้มกําไรหลักของ BCP ในไตรมาส 2/66 มีแนวโน้มลดลงทั้ง YoY และ QoQ ซึ่งถูกกดดันโดยผลกำไรที่ลดลงจากธุรกิจโรงกลั่น, ไฟฟ้า, และทรัพยากรธรรมชาติ
สิ่งที่เปลี่ยนแปลง
แม้กำไรสุทธิในไตรมาส 1/66 จะคิดเป็น 40% ของประมาณการกำไรในปี 2566 ที่ 6,862 ล้านบาท เรายังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากเราคาดว่ากําไรไตรมาส 2/66 จะลดลง QoQ
คําแนะนํา
แม้แนวโน้มไตรมาส 2/66 จะไม่สดใสก็ตาม มุมมองเชิงบวกของตลาดต่อโอกาสเติบโตจากทั้งธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป ปัจจุบัน BCP ซื้อขายที่ PBV ปี 2566 ที่ 0.5 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ระยะยาวที่ 1 เท่า อยู่ 1.5 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) น่าจะช่วยจํากัดความเสี่ยงขาลงของราคาหุ้น