KS Daily View 12.05.2023 >>> ลุ้นจัดตั้งรัฐบาล หลัง 14 พ.ค. มอง Domestic play ขึ้นต่อหลังความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงสุดรอบ 3 ปี SET คาดแกว่งตัวขึ้นในกรอบ 1,550-,1585 จุด หุ้นแนะนำวันนี้ BDMS, BA
สรุปภาวะตลาดเมื่อวานนี้
ต่างประเทศ: ดัชนี-0.66%, S&P 500 -0.17%, และ NASDAQ +0.18% โดย Sector ที่outperform ใน S&P500 ได้แก่ Communication Services (+1.7%), Consumer Discretionary (+0.6%), Consumer staples (+0.3%) ส่วน Sector ที่ underperform ได้แก่ Energy (-1.6%), Utilities (-1.2%), Real Estate (-1.0%)
ในประเทศ: SET Index -2.16pts. หรือ -0.14% เป็น 1,567.40 หนุนโดย GLOBAL (+4.5%), OSP (+4.2%), CBG (+3.3%), RBF (+2.8%) ขณะที่ตัวที่ปรับตัวแย่กว่าตลาดได้แก่ BCH (-9.6%), STA (-6.9%), STGT (-6.2%), TRUE (-5.5%)
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวขึ้นต่อในกรอบ 1,550-1,585 จุด ลุ้นการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. โดยจากสถิติพบว่า SET Index มักปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 6% ในเวลา 1 เดือนหลังการเลือกตั้งบนกรณีที่ได้รัฐบาลเข้มแข็ง และคละกันบนกรณีได้รัฐบาลร่วมหลายพรรคทำให้การบริหารงานไม่มีเอกภาพโดยคาดว่ารัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะอัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจช่วยหนุนความเชื่อมั่นผู้บริโภคฟื้นตัวต่อเนื่อง(ล่าสุดดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดรอบ 3 ปีที่ 55 จุดในเดือน เม.ย.) ทั้งนี้เราพบว่า กลุ่มการเงินอสังหาฯ ธนาคาร ICT พาณิชย์ สื่อ อาหารและเครื่องดื่ม เป็นกลุ่มที่ทำผลงานดีสมัยพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งในปี2544 และ 2554 สำหรับภาพต่างประเทศนักลงทุนยังคงกังวลความเสี่ยง Recession สะท้อนผ่านเม็ดเงินที่ไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าไปพักในตลาดพันธบัตร/ค่าเงิน USD ที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งภาพดังกล่าวยิ่งเป็นตัวหนุนให้ตลาดหุ้นไทยดูเด่นโดยเปรียบเทียบจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีต่อเนื่อง และเงินเฟ้อที่ปรับตัวลงสู่กรอบนโยบายของ ธปท. ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยแรงๆเหมือนในต่างประเทศ
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.) ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในต่างประเทศที่รายงานวานนี้ต่างสะท้อนภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อของจีนในเดือนเมษายน (+0.1% YoY เทียบกับคาดการณ์ที่ +0.4% YoY และก่อนหน้าที่ 0.7% YoY), PPI ของจีนในเดือนเมษายน (-3.6% YoY เทียบกับคาดการณ์ที่ -3.2%YoY และก่อนหน้า – 2.5% YoY), US April PPI (+0.2% MoM เทียบกับคาดการณ์ที่ +0.3% MoM), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ +264K (สูงสุดในรอบ 1-1/2 ปีในสัปดาห์ที่แล้ว) เทียบกับค่าประมาณ +245K และก่อนหน้านี้ที่ +242K
2.) ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 53.8 เป็น 55.0 ดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือน ที่ 11 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 38 เดือน เนื่องจากผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่การท่องเที่ยว ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนทั้งการท่องเที่ยวของคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่เริ่มเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้นเป็นลำดับ ตลอดจนบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งที่คึกคักทั่วประเทศ ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศ มากขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ปรับตัว ดีขึ้น มองเป็น sentiment บวกกับกลุ่ม Domestic play
3.) การปรับปรุงดัชนี MSCI รอบเดือน พ.ค. สำหรับประเทศไทย โดยในส่วนของ MSCI GLOBAL STANDARD INDEXES ประกอบด้วยหุ้นเข้า (MAKRO) และหุ้นออก (JMT, TU) ขณะที่ MSCI GLOBAL SMALL CAP INDEXES ประกอบด้วยหุ้นเข้า (JMT, TU, TIDLOR, SAPPE, SISB) และไม่มีหุ้นออก มีผลราคาปิดวันพุธที่ 31 พ.ค.
4.) จากการรายงานผลประกอบการ 1Q23 ล่าสุดพบว่ากลุ่ม Domestic play หรือ กลุ่มที่อิงกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ(Bank, Commerce, Finance, Property, F&B, Tourism, Transport) ส่วนใหญ่รายงานกำไร 1Q23 ตามคาดหรือดีกว่าคาด พร้อม outlook ที่มีแนวโน้มดีขึ้นต่อใน 2Q23 ขณะที่กลุ่มที่อิงต่างประเทศ (Energy, Petrochemical, Export, Electronics) รายงานกำไร 1Q23 ตามคาดหรือแย่กว่าคาด และ outlook หลายตัวมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อใน 2Q23 ดังนี้มองว่ากลุ่ม Domestic play มีแนวโน้มจะ outperform ต่อเนื่อง นอกจากเรื่องงบแล้วยังมีแรงหนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
5.) ผลประกอบการ 1Q23 ดีกว่าคาด (BDMS, BA, PTT, SAT, UTP, BAFS, TASCO, BEM, PTG, KAMART, D, BBIK, M, CHAYO, LPN, BAREIT), ตามคาด (TTW, GFPT, BE8, SABINA, SAK, TFFIF, BOFFICE), แย่กว่าคาด(LH, CKP, CPF, PYLON, SSP, CHASE)
หุ้นแนะนำวันนี้
Top pick:
- BDMS (ราคาพื้นฐาน 33.30 บาท) รายงานกำไรปกติ 1Q66 ที่ 3.5 พันลบ. สูงกว่าประมาณการของเรา5% และสูงกว่าประมาณการตลาด 6% โดยเป็นผลจากอัตรากำไรขั้นต้นที่มากกว่าคาดเป็นหลัก รายได้โรงพยาบาลอยู่ที่ 23 พันลบ. เพิ่มขึ้น 2% QoQ และ 4% YoY การเพิ่มขึ้น QoQ และ YoY เป็นผลจากการการเติบโตของรายได้คนไข้ต่างชาติที่มากพอชดเชยรายได้คนไทยที่ลดลง รายได้คนไข้ต่างชาติอยู่ที่ 6.7 พันลบ. ทำสถิติสูงสุดใหม่ เติบโต10% QoQ และ 37% YoY โดยเป็นการเติบโตจากกลุ่มคนไข้ที่บินเข้ามารักษาตัว โดยภาพรวมถือว่ารายได้มีการเติบโตต่อเนื่องโดยเฉพาะรายได้คนไข้ต่างประเทศที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ และดูเหมือนจะมีการประหยัดต่อขนาดดีกว่าที่เราคาด ทำให้อัตรากำไรออกมาสูงกว่าคาด อีกทั้งยังมีการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดี
- BA (ราคาพื้นฐาน 16.44 บาท) BA รายงานกำไรหลักไตรมาส 1/66 ที่ 831 ล้านบาท พลิกจากที่ขาดทุน 152 ล้านบาทในไตรมาส 4/65 และ 1.1 พันล้านบาทในไตรมาส 1/65 สูงกว่าประมาณการตลาดถึง 78% เราปรับประมาณการกำไรปี 2566 จากขาดทุนหลัก 1.3 พันล้านบาทในปี 2566 เป็นกำไรหลัก 943 ล้านบาท และเพิ่มกำไรหลักปี 2567 ขึ้น 170% เป็น 1.6 พันล้านบาท และปรับคำแนะนำเป็น ซื้อ ปรับเป้าขึ้นเป็น 16.44 บาท (จากเดิม 13.64 บาท) ทั้งนอกจากธุรกิจการบินที่พลิกกลับมาเป็นกำไร เรามองว่าราคาหุ้น BDMS ที่มีแนวโน้มดีต่อเนื่อง กับการปรับโครงสร้าง BAREIT ที่ดีกว่าเดิม (เป็นจ่ายค่าเช่าคงที่ vs. ก่อนหน้าที่จ่ายค่าเช่าผันแปรสูงถึงปีละ 1.5 พันล้านบาทต่อปี)
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
1.) หุ้นที่เราคาดผลประกอบการไตรมาส 1Q23 แข็งแกร่ง นำโดย (AURA , AMATA, CK) AURA หากอิงจากราคาทองคำ (ล่าสุดแตะรับสูงสุดที่ 2,060 ดอลลาร์สหรัฐฯ) รวมถึงความผันผวนของค่าเงินบาทส่งผลให้เราคาดว่ายอดซื้อขายทองคำหน้าร้านจะเพิ่มขึ้น โดยคาดกำไรไตรมาส 1Q23 เติบโต 14%QoQ, 21%YoY ที่ 257ล้านบาท คิดเป็น27%ของประมาณการกำไรปีนี้ ในขณะที่ใกล้ช่วงเปิดเทอมในไตรมาส 2Q23 คาดรายได้จากธุรกิจจำนำจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเราปรับประมาณการคำแนะนำขึ้นจากถือเป็น ซื้อ ด้วยราคาเหมาะสมที่ 19.34 บาท/หุ้น AMATA บนเม็ดเงิน FDI ไหลเข้าเพิ่มขึ้นจากความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน และความเชื่อมั่นภาคเอกชนหลังการเลือกตั้ง ส่วน CK มองได้ sentiment บวกจากการประมูลงานรัฐกลับมาหลังเลือกตั้ง และราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายไม่แพง มีส่วนลดจากมูลค่าสินทรัพย์ถือครองอยู่ที่ 41%
2.) กลุ่มธนาคาร (BBL, KTB) เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการประชุมนักวิเคราะห์ BBL เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่เราคาดว่าการประชุมกนง.ในช่วงไตรมาส 2Q23 มีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง โดยคาดผลประกอบการของบริษัทจะฟื้นตัวต่อเนื่องทั้งในเชิง QoQ และ HoH จากการขยายตัว Loan Growth และ NIM (%) ในระดับ 4-5% และ 2.7% ตามลำดับ ในขณะที่ประเมินการตั้งสำรองในช่วงครึ่งปีหลังจะเริ่มลดลง สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ จากเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา เราได้ปรับประมาณการกำไรปี 2023-25 ขึ้น 7-12% ตามลำดับพร้อมปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 182.5บาท
3.) กลุ่มการเงิน (AEONTS) มองค่าแรงขั้นต่ำ/เงินเดือน ป.ตรีมีโอกาสปรับขึ้นจากนโยบายของพรรคการเมืองที่มีคะแนนนำในขณะนี้จะหนุน Loan growth ของบริษัทสูงกว่าเป้าที่ 5-10% เราเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีทั้งในเชิง QTD ทั้งการเติบโตของการเติบโตสินเชื่อ และคุณภาพสินทรัพย์ ทำให้เราคาดว่ากำไร 4QFY66 ที่อ่อนแอจะเป็นจุดต่ำสุดและคาดกำไรไตรมาส 1QFY67 จะปรับตัวดีขึ้น QoQ
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ:
- วันศุกร์ ติดตาม ตัวเลข GDP 1Q23 ของอังกฤษคาด +0.1% QoQ และ +0.2% YoY ตัวเลข Michigan Consumer Sentiment ของสหรัฐฯ เดือนพ.ค. คาด 63 จุด (-0.8% MoM)