- ประเมิน SET Index แกว่งตัว Sideway / Sideway up ลุ้นทดสอบแนวต้าน 1,540-1,542
- วันนี้เคาะ CBG ผ่านจุดต่ำไปแล้ว คาดจะถูก Cover short ในระยะสั้น
MARKET STRATEGY
สรุปตลาดวานนี้
SETI ปิดที่ 1,539.84 จุด ลดลง 1.54 จุด (-0.10%) มูลค่าการซื้อขาย 53,185.45 ล้านบาท แกว่งตัว sideway จากความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากยังต้องรอความชัดเจนจากหลายๆ ฝ่าย ขณะเดียวกันก็ยังไม่มีปัจจัยบวกจากต่างประเทศเข้ามาสนับสนุน
Research Highlight: ประเด็นเพดานหนี้สหรัฐฯ คาดว่าออกมาในเชิงบวก//การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่
Update สถานการณ์ เพดานหนี้สหรัฐ
- ปธน.ไบเดน และประธานสภาเควิน แมคคาร์ธี ใกล้บรรลุข้อตกลง เพื่อป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐ ส่งผลให้ปธน.ไบเดนตัดสินใจยุติการเดินทางเยือนเอเชีย เพื่อมุ่งเน้นไปที่การเจรจา แม้ทั้งสองฝ่ายยังมีความขัดแย้งกันในเรื่องวิธีการเพิ่มรายได้และการลดค่าใช้จ่าย แต่ก็มีฉันทามติว่าจะต้องไม่เกิดการผิดนัดชำระหนี้ และจะมีการหารือต่อไป โดยเจ้าหน้าที่ทําเนียบขาวกับสมาชิกสภาจากพรรครีพับลิกัน
กังวลแนวโน้มเศรษฐกิจ สหรัฐ
- ล่าสุดบ. โฮม ดีโปท์ รายงานงบ 1Q66 ออกมาจากว่าคาดได้รับผลกระทบจากการที่ผู้บริโภคชะลอการเปิดตัวโครงการใหญ่ และลดการซื้อสินค้าราคาแพง
- สอดคล้องกับรายงานของก.พาณิชย์ ที่เปิดเผยตัวเลขยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดอย่างมาก
- สะท้อนเศรษฐกิจชะลอตัวลง หลังจากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา
- ยังมีความเห็นของจนท.เฟดหลายท่านที่ไม่ตรงกัน เช่น ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา ที่คาดว่าเฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะปรับตัวอยู่ในระดับสูงนานกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่สาขานิวยอร์กและสาขาคลีฟแลนด์ สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อต่อไป
ใกล้สิ้นสุดการรายงานงบ 1Q66 ของตลาดหุ้นไทย ปัจจัยที่ต้องติดตามต่อคือการจัดตั้งรัฐบาล
- ภาพรวมผลการดำเนินงาน 1Q66 ที่ออกมาแล้ว 593 บจ. จาก 667 บจ. รายงานออกมาดีกว่า Bloomberg คาดเพียง 11 บจ. ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มพลังงานและธนาคาร ขณะที่มี 71 บจ. ที่กำไรสุทธิยังขยายตัว ด้าน EPS ปัจจุบันอยู่ที่ 23.33 บาท/หุ้น
- ปัจจัยที่ต้องจับตาต่อคือการจัดตั้งรัฐบาล ที่ยังมีอุปสรรคอยู่พอสมควร ประกอบกับยังไม่เห็นทีมเศรษฐกิจที่ชัดเจน รวมถึงนโยบายที่จะกระตุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม New S- Curve ซึ่งจะส่งผลต่อเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติทั้งในตลาดหุ้นและ FDI นอกจากนี้หาก ไม่สามารถจัดตั้ง ครม. ได้ทันช่วงกลางเดือน ส.ค. อาจจะกระทบต่อการพิจารณางบประมาณรายจ่ายภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อการใช้จ่ายภาครัฐที่ยังชะลอตัวต่อเนื่อง ทำให้ GDP มีเพียงแรงขับเคลื่อนจากภาคท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศเท่านั้น
- ในเชิงกลยุทธ์ เราแนะนํากลุ่มธนาคาร (KBANK KTB KKP), ค้าปลีก (CPALL HMPRO BJC) และท่องเที่ยว (AWC ERW MINT AOT) จะเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งต่อประเด็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ยังมีความไม่แน่นอน
สัปดาห์นี้ติดตาม
- 17 พ.ค. CPI เม.ย. EU คาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 7.0%YoY
- 18 พ.ค. Existing home sales เม.ย. สหรัฐ คาดชะลอตัวลงเหลือ 4.35M
Investment Strategy
- ประเมิน SET Index แนวโน้มแกว่งตัว sideway / sideway up ลุ้นทดสอบแนวต้าน 1540-1542 ยืนได้มั่นคง ความเสี่ยงขาลงจะเริ่มจํากัด แนวต้านถัดไป 1550 แนวรับ 1536/1530
Global Markets
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงกว่า 300 จุด หลังจาก โฮม ดีโปท์ ซึ่งเป็นบริษัทจําหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง และสหรัฐเปิดเผยรายงานยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ ซึ่งบ่งชี้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐอ่อนแอลง
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ ขณะที่นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน ทั้งในยุโรปและสหรัฐ และการเปิดเผยข้อมูลยอดค้าปลีกที่ต่ำกว่าคาดของสหรัฐ ทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับการใช้จ่ายของผู้บริโภค
(-) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดลบ หลังจากจีนและสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง บดบังปัจจัยบวกจากการที่สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปีนี้
(-) สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดร่วงลง โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดที่ส่งสัญญาณสนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
หุ้นเคาะไป คุยไป…CBG
- CBG รายงานกำไรสุทธิ 1Q66 ที่ 264 ล้านบาท หดตัวลง 60%YoY จากรายได้ที่ลดลง (-8.0%QoQ, -14%YoY) ทั้งในและต่างประเทศ (สัดส่วน 47%:53%) โดยในประเทศยอดขาย energy drink ชะลอตัวลง 9%YoY ตามภาวะตลาด แต่รายได้จากต่างประเทศลดลง 23%YoY โดยเฉพาะ CLMV และจีนเป็นหลัก ตามภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ขณะที่ GPM ทำจุดต่ำสุดลดลงเหลือ 25% เทียบกับ 4Q65 ที่ 27% และ 1Q65 ที่ 31% หลักๆ มาจากต้นทุนค่าไฟ น้ำตาล และค่าบรรจุภัณฑ์
- แนวโน้มส่วนแบ่งการตลาดจะกลับมาดีขึ้นหลัง CBG ยังคงราคาขาย 10 บาทเท่าเดิม ขณะที่คู่แข่งรายอื่นปรับเพิ่มขึ้นเป็น 12 บาท นอกจากนี้เริ่มเห็นโมเมนตัมบวกของยอดขายใน CLMV และจีนที่เริ่มฟื้นตัว ขณะที่ GPM เชื่อว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หลังบ.ย่อยในอังกฤษ ICUK ที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงในแง่ของต้นทุนพลังงานที่มี แนวโน้มลดลง แต่ต้นทุนวัตถุดิบยังมีแนวโน้มผันผวน ขณะที่ตั้งเป้าเป็นผู้นำาของตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทย
- สำหรับผลประกอบการใน 2Q66 เราคาดว่าจะขยายตัว QoQ และ YoY ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ส่วนภาพทั้งปีเราประเมินรายได้จะขยายตัว 5% ในเชิงกลยุทธ์เรามองว่าผลการดำเนินงานใน 1Q66 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี ก่อนที่จะฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี และ valuation น่าสนใจ สะท้อนผ่านราคาที่ปรับตัวลง 27.1%YTD ประกอบกับราคาชื้อขายปัจจุบันอยู่บน PE 37.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 42.8 เท่า และต่ำกว่า QSP ที่ระดับ 46.7 เท่า มีโอกาสที่ CBG จะถูก cover short ในระยะสั้น