โบรกฯ แนะนำ NER หุ้นปันผลสูง 6% คาดผ่านจุดต่ำสุดแล้ว

 

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)

ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว

  • เราคาดกำไรปกติใน 1Q66 คือจุดต่ำสุดของปี และผ่านจุด Bottom ของอุตสาหกรรมไปแล้วคาดเริ่มเห็นการฟื้นตัวของ ASP และปริมาณขายไม่น้อยกว่า 5% QoQ ใน 2Q66 ซึ่งอาจทำให้ GPM กลับมาที่ระดับ 10% ได้ ขณะที่ ASP มีโอกาสเร่งขึ้นได้ในช่วง 2H66เพราะคาดว่าปริมาณฝนในปีนี้จะน้อยกว่าปกติทำให้น้ำยางออกสู่ตลาดน้อยกว่าปกติได้ ขณะที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจฝั่งประเทศตะวันตก กระทบต่ออุปสงค์จากลูกค้าของ NER ค่อนข้างจำกัด
  • ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER2566 เพียง 5.8 เท่า และคาดเงินปันผลสำหรับปี 2566 ที่ 0.35บาท ให้ผลตอบแทน 6.9% สะท้อนว่าราคาตลาดตอบสนองต่อแนวโน้มกำไร 1Q66ไปมากแล้ว ขณะที่ผลประกอบการคาดฟื้นตัวขึ้นรายไตรมาส เรามองว่าผลประกอบการที่ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เป็นโอกาสสะสม คงประมาณการ คงราคาเป้าหมายที่ 7.10 บาท คงคำแนะนำ ซื้อ

 

บล.ยูโอบี เคย์ เฮียน (ประเทศไทย)

จากแนวโน้มราคายาง , GPM และธุรกิจแผ่นยาง ที่มีแนวโน้มอ่อนแอกว่าที่เราคาดเดิม ฝ่ายวิจัยจึงมีการปรับลดกำไรปี 2023-24 ลง 31% และ 28% เพื่อสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าว ได้กำไรปี 2023 ลดลง 21% yoy และจะฟื้นตัว 11.7% yoy โดยประมาณการปัจจุบบันยังไม่รวมผลจากการขยายกำลังการผลิตใหม่ในปี 2024 เข้ามาภาพรวมระยะสั้นแนวโน้มกำไรอาจโดดเด่นน้อยลง แต่ยังชดเชยได้จาก Dividend yield ที่สูงราว 6% ต่อปี จึงยังคงแนะนำ ซื้อ

 

บล.พาย

1Q23 กำไรไม่ดีนัก แต่ 2Q23 จะค่อยๆ ดีขึ้น

NER รายงานกำไรสุทธิงวด 1Q23 เหลือ 314 ลบ.(-33%YoY,-15%QoQ)ได้รับผลกระทบจากการลดลงของราคายางแม้ว่าปริมาณขายจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะที่แนวโน้มในช่วง 2Q23 คาดว่าปริมาณขายจะดีขึ้นหลังความต้องการยางจากจีนยังมีอยู่มาก รวมถึงราคาที่ค่อยๆปรับตัวดีขึ้น แต่ความเสี่ยงคือผลกระทบจากภัยแล้งที่อาจจะทำให้ปริมาณยางพาราในภาคอีสานน้อยกว่าที่ประเมิณไว้ ซึ่งทำให้การขยายโรงงานใหม่ของ NER ยังอยู่ระหว่างการติดตามผลกระทบดังกล่าวอยู่ทั้งนี้เราปรับกำไรในปี 23 ลดลงจากเดิม 16% เหลือ 1,640 ลบ. (-6%YoY) แต่ด้วยเงินปันผลที่ยังดีอยู่ในระดับ 6-7%เราจึงแนะนำ “ซื้อ” เช่นเดิม

 

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์

  • แม้ปี 2566 ปริมาณขายยางจะมีแนวโน้มเติบโต YoY ตามอุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้นจากการเปิดประเทศของจีนและความต้องการยางรถ EVรวมทั้งการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ แต่กําไรปกติ1Q66 คิดเป็นเพียง 16% ของประมาณการทั้งปีซึ่งต่ำเกินไปมาก เนื่องจากศักยภาพทํากําไรแย่กว่าคาดมากจากราคาขายที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาดมาก เพื่อสะท้อนปัจจัยลบและยึดหลักระมัดระวัง เราจึงปรับลดประมาณการกําไรปี 2566 ลงจากเดิม 16% โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2566 NER จะมีกําไรปกติ 1,625 ลบ. หดตัว 12%YoY
  • กรอบราคาเป้าหมายใหม่ปี 2566 อยู่ที่หุ้นละ 4.80-5.30 บาท (อิงค่าเฉลี่ย PER เดิมที่ 5.5-6.0 เท่า) พบว่าไม่มี Upside ที่น่าสนใจแล้ว ซึงเมื่อบวกกับ 2Q66 คาดกําไรปกติยังมีแนวโน้มลดลง YoY ตามราคาขายยางเฉลี่ยที่ลดลง YoY จึงทําให้ขาดปัจจัยกระตุ้นการปรับขึ้นของราคาหุ้นในช่วงสั้นนี้ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนํา “ขายหรือหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน”
  • ความเสี่ยงสําคัญ คือ ความผันผวนของราคายางพารา, การถดถอยของเศรษฐกิจโลกและจีน, การแข็งค่าของเงินบาท

บล.โกลเบล็ก

มุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้มปี 66 จากปัญหาด้านอุปทาน

ความเห็น เรามีมุมมองงเป็นกลางต่อผลประกอบการ 1Q66 และแนวโน้มทั้งปี 66โดยปัจจัยเสี่ยงของปีนี้มาจากปัญหาด้านอุปทานยางที่คาดจะตึงตัว จากปรากฏณ์เอลนีโญที่ทำให้แนวโน้มปริมาณน้ำฝนในปีนี้ต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย 5% ในรอบ 20 ปี ส่วนราคายางคาดผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและมีแนวโน้มปรับดีขึ้นอีก 4-5% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากความต้องการยางที่ยังเติบโตดีจากการที่จีนเปิดประเทศและเทรนด์ของ EV Car โดยผบห.คงเป้าปริมมาณขายทั้งปี 66 ที่ราว 5 แสนตัน +12%YoY แต่คาด % GPM ทรงตัวที่ระดับ 10% ต่ำกว่าปี 65 อยู่ที่ระดับ 12% จากแนวโน้มราคาขายที่ทรงตัวในระดับต่ำ โดย Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 66 ราว 1,968ลบ. +13%YoY และราคาเหมาะสม 7.80 บาท (อาจถูก Revised down จากการประชุมฯล่าสุด) อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปรับตัวลง 20%YTD สะท้อนผลประกอบการที่อ่อนแอไปแล้ว และปัจจุบันซื้อขายที่ PE 5.9x ต่ำกว่ากลุ่มที่ 9x) แนะนำ “ซื้อ”

 

- Advertisement -