บล.ฟิลลิป:

นอร์ทอีส รับเบอร์ – NER ขายจีนและอินเดียเพิ่ม แต่ราคายางร่วง

Key Point

1Q66 รายได้ขายยาง +y-y -q-q จากความต้องการล้อยางในจีนและอินเดียเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจรถยนต์ EV แต่ทางฝั่งอเมริกาและยุโรปยังอ่อนตัว, GPM 9.7% -y-y และ -q-q จากราคาขายยางเฉลี่ยลดลง, กำไรสุทธิ 314 ลบ. -33.0%y-y -14.6%q-q, คาด 2Q66 ปริมาณการขายใกล้เคียงกับไตรมาสแรก ราคาขายยางเฉลี่ยปรับตัวดีขึ้น แต่ทั้งปีราคาเฉลี่ยยังคงต่ำกว่าปีก่อน ราคาพื้นฐาน 5.20 บาท คงคำแนะนำ “ทยอยซื้อ”

1Q66 ขายจีนและอินเดียได้เพิ่ม

1Q66 รายได้ขายยาง 6,254 ลบ. +11.8%y-y -11.7%q-q เพิ่มขึ้นจากปริมาณเป็นหลัก จากความต้องการล้อยางในจีนและอินเดียเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจรถยนต์ EV และคาดว่าจะต้องการเพิ่มขึ้นอีกใน 2Q66 แต่ทางฝั่งอเมริกาและยุโรปยังอ่อนตัว จึงทำให้ปริมาณขายยางลดลง q-q, GPM 9.7% ลดลงทั้ง y-y และ q-q จากราคาขายยางเฉลี่ยลดลง q-q และ y-y, SG&A ลดลง y-y และ q-q จากค่าระวางเรือที่มีอัตราลดลง ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นจากการออกหุ้นกู้ 2 ฉบับช่วงต้นไตรมาสสองและสี่ในปีที่ผ่านมา, กำไรสุทธิ 314 ลบ. -33.0%y-y -14.6%q-q

กังวลภัยแล้ง

มุมมองปีนี้เจอกับภาวะเอลนีโญ ทำให้เกิดภัยแล้ง คาดว่าปริมาณน้ำฝนปีนี้จะน้อยลง และหากเทียบกับปี 2559 ที่เคยเกิดภาวะนี้ ต้นยางยืนต้นตายในบางพื้นที่จากการขาดน้ำ คาดในไทยปีนี้จะมี ปริมาณน้ำยางลดลง แต่วันนี้แตกต่างจากเมื่อก่อน เนื่องจากมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจของอเมริกาและยุโรปกดดัน  ทำให้ผู้บริหารกังวลเรื่องการขยายโรงงานใหม่ ทั้งด้านเศรษฐกิจและปริมาณน้ำยางที่ไม่พอต่อกำลังการผลิต ซึ่งมีแผนขยายโรงงาน STR เพื่อขอสิทธิ BOI คาดว่าเริ่มผลิตได้ใน 2Q67 ซึ่งจะทำให้กำลังผลิตเพิ่มเป็น 688,400 ตัน/ปี +33.5%y-y, รอดูนโยบายจากรัฐบาลใหม่ หากมีการเข้าช่วยประกันราคายางจะทำให้บริษัทฯ ได้ประโยชน์ และจะกระตุ้นกำลังซื้อจากลูกค้าได้เพิ่ม คาด 2Q66 ปริมาณการขายใกล้เคียงกับไตรมาสแรก ส่วนราคาขายยางเฉลี่ยปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย q-q, คาดกำไรสุทธิปี 66 ที่ 1,551 ลบ. -11.3%y-y

กังวลแหล่ง supply ใหม่กินส่วนแบ่งตลาดไทย

ปริมาณยางในไอวอรีโคสต์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย และส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งราคาถูกกว่าไทยมาก แต่ยางในไทยมีคุณภาพที่สูงกว่า และการขนส่งมาจีนที่ไกลกว่าไทย แต่ยังเป็นกังวลหากในอนาคตมีการพัฒนาคุณภาพยางให้ดีขึ้นและการขนส่งไปฝั่งยุโรปที่ใกล้กว่าไทย

ราคาพื้นฐานปี 2566 ที่ 5.20 บาท/หุ้น อิง P/E 6.2 เท่า

ทางฝ่ายฯประเมินราคาหุ้น โดยใช้ P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี +0.5S.D. เนื่องจากสะท้อนภาพของธุรกิจปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เฉลี่ยที่ 6.2 เท่า โดยคาดการกำไรปี 66 อยู่ที่ 1,551 ลบ. EPS 0.84 บาท ราคาพื้นฐานปี 2566 อยู่ที่ 5.20 บาท คงคำแนะนำ “ทยอยซื้อ”

ความเสี่ยง

  1. ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ
  2. ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
  3. ความเสี่ยงจากการใช้สินค้าทดแทน
- Advertisement -