- ประเมิน SET Index ยืน 1,518 ได้มั่นคงความเสี่ยงขาลงยังจำกัด ถ้าต่ำกว่ารอเล่นรอบใหม่ที่จุดต่ำก่อนหน้าที่ 1,507 แนวต้าน 1,530/1,540
- วันนี้เคาะ PR9 ว่า PR9 เป็นหนึ่งในหุ้น Election play ที่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลทางการเมืองโดยหลังจากการเลือกตั้งราคาปรับตัวลงแรงกว่า 15.5% มองว่าเป็นจังหวะสะสมเนื่องจากไม่ได้เกี่ยวข้องในเชิงปัจจัยพื้นฐานประกอบกับ Valuation ปัจจุบัน ซื้อขายบน PE เพียง 26 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยกลุ่ม และปรับตัวลงจากระดับ 29 เท่าในช่วง 1Q66
MARKET STRATEGY
สรุปตลาดวานนี้ SETI ปิดที่ 1,522.74 จุด ลดลง 17.10 จุด (-1.11%) มูลค่าการซื้อขาย 57,401.27 ล้านบาท รับแรงกดดันปัจจัยต่างประเทศและในประเทศ หลังยังเผชิญความไม่แน่นอนการจัดตั้งรัฐบาล และการขยายเพดานหนี้สหรัฐก็ยังไม่มีความคืบหน้า บวกกับทางเทคนิคไม่เห็นสัญญาณรีบาวด์
Research Highlight: ปัจจัยภายนอกเป็นบวก ปัจจัยภายในยังน่ากังวล
Update สถานการณ์ เพดานหนี้สหรัฐ
- ล่าสุดหลังการประชุมกับสภาคองเกรซ ปธน.ไบเดน และปธ.สภา แสดงความั่นใจว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงเพิ่มเพดานหนี้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ได้ในปลายสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการประชุม G7 ในญี่ปุ่น มองเป็นบวกต่อการลงทุนทั่วโลก
- CDS ของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น 1.3%WTD แต่ลดลงเมื่อเทียบกับ 1 เดือนก่อนหน้า ตอบรับความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ
เงินเฟ้อยุโรปออกมาตามคาด
- CPI เม.ย. EU ขยายตัว 7%YoY ตามคาดเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเล็กน้อย ส่งผลต่อ ECB ที่จะยังเข้มงวดนโยบายการเงินต่อเนื่อง คาดจะยังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุม 2 ครั้งหน้า (ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3.75%)
- ก่อนหน้านี้ EC ได้เพิ่มการคาดการณ์ว่า GDP ปีนี้ของ EU ขึ้นเป็น 1.1% (เดิม +0.9%) สะท้อนภาพเศรษฐกิจยูโรโซนรอดพ้นจากวิกฤตพลังงานมาได้ แม้อัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเห็นได้ชัดต่อเศรษฐกิจในปี 67
Update สถานการณ์ การเมือง // ตลาดกังวล policy risk
- เรามองว่า Election rally ไม่น่าเกิดแล้ว จากความกังวลการจัดตั้งรัฐบาลที่ยังมีอุปสรรค อย่างไรก็ดี ท่าทีของ ส.ว. เริ่มมีบางท่านที่จะโหวตให้ผู้ที่ได้เสียงข้างมากเป็นนายกฯ (12 เสียง) ขาดอีก 52 เสียง ขณะที่วันนี้ จะมีการเซ็น MOU ของพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง และเป็นการเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนในการจัดตั้งรัฐบาล
- ที่ผ่านมาหุ้นที่ได้รับผลกระทบจาก policy risk จากพรรคก้าวไกล เช่น การยกเลิกผูกขาดของธุรกิจ การปรับลดค่าไฟฟ้า เช่น กลุ่มพลังงาน-โรงไฟฟ้า สื่อสาร และค้าปลีกขนาดใหญ่ รวมถึงมีแผนการจัดเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้ภาษีของภาครัฐ คิดเป็น 13% ของ GDP ซึ่งพรรคก้าวไกลมองว่าต่ำไป รวมถึงนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งทำให้ความสามารถในการสร้างกำไรจอง บจ. ลดลง
- ในเชิงกลยุทธ์เราแนะนำ selective buy ในกลุ่มค้าปลีกที่ไม่ค่อยผูกขาด เช่น BJC ซึ่งคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายสุราเสรี ที่ BJC สามารถผลิตกระป๋องและวางขายในร้านได้ และกลุ่มการเงิน เราชอบ TIOLOR ที่จะได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น ลดความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ ประกอบกับ TIOLOR ยังสามารถควบคุม NPLS ได้ดีกว่ากลุ่ม
ติดตาม
- 18 พ.ค. Existing home sakes เม.ย. สหรัฐ คาดชะลอตัวลงเหลือ 4.35M
Investment Strategy
- เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง หากเทียบกับในภูมิภาคถือว่าอ่อนแอ แม้ว่าส่วนหนึ่งจะได้รับผลกระทบจาก Dollar index ที่แข็งค่า แต่เรามองว่าความเสี่ยงระหว่างการจัดตั้งรัฐบาล หลังการเลือกตั้งของไทยยังมีอยู่ ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในโหมด Overhang
- อย่างไรก็ดีเรามองว่า downside risk เริ่มจำกัด เนื่องจากตลาดรับรู้ผลประกอบการ 1Q66 และประเด็นทางการเมืองไปพอสมควรแล้ว รวมถึง EYG ที่ดีดตัวขึ้นเป็นบวก ในเชิง Valuation หากยืน 1518 ได้มั่นคง ความเสี่ยงขาลงยังจำกัด ถ้าต่ำกว่ารอเล่นรอบใหม่ที่จุดต่ำก่อนหน้าที่ 1507 แนวต้าน 1530/1540
Global Markets
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดปิดพุ่งขึ้นกว่า 400 จุด ขานรับความคืบหน้าในการเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากธนาคารเวสเทิร์น อลิอันซ์ แบ้ง คอร์ป เปิดเผยยอดเงินฝากเพิ่มขึ้น ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในภาคธนาคารของสหรัฐ
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ ถูกกดดันจากความวิตกที่ว่า สหรัฐจะสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ได้หรือไม่ รวมถึงการคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน
(+) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดพุ่ง ขานรับความหวังทีว่าทําเนียบขาวและสภาคองเกรสจะบรรลุข้อตกลงเพิ่มเพดานหนี้ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ครั้งประวัติศาสตร์
(-) สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์ เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์เป็นปัจจัยกดดันตลาด นอกจากนี้ นักลงทุนได้ลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังมีรายงานว่าการเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐมีความคืบหน้า
หุ้นเคาะไป คุยไป…PR9
- แนวโน้ม 2Q66 จะยังเติบโตดี แม้ว่าไตรมาส 2 ของทุกปี ปกติจะเป็นช่วง Low season แต่ในปีนี้ได้รับอานิสงส์หลังช่วงสงกรานต์ที่มี Covid สายพันธุ์ใหม่ รวมถึงปริมาณผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น ทั้ง IPD และ OPD รวมถึงเริ่มเห็นผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะคนจีน เนื่องจากโรงพยาบาลตั้งอยู่ในย่านที่คนจีนพักอาศัย โดยคนจีนเดินทางมารักษาในส่วนของการตรวจสุขภาพ, เสริมความงาม และผู้มีบุตรยาก (IVF) และแผนกเฉพาะทางต่างๆ ที่เชื่อมต่อกับ ระบบ Telemedicine ที่สามารถปรึกษาแพทย์ได้จากทุกที่ทั่วโลก ปัจจุบันสัดส่วนคนไข้ต่างชาติอยู่ที่ 13% และสัดส่วนคนไข้ในประเทศอยู่ที่ 87%
- ส่วนเป้ารายได้ปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 12% จากปี 65 สู่ระดับ 51 พันล้านบาท โดยการขยายตลาดต่างประเทศ อาทิ กัมพูชา พม่า ลาว มากขึ้น และเปิดตลาดใหม่ตะวันออกกลาง พร้อมทั้งบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมรีโนเวทแผนก International Center สำหรับรองรับผู้ป่วยต่างชาติที่มีแนวโน้มขยายตัวในปี
- ด้านงบ 1Q66 รายงานกำไรสุทธิ 108.8 ล้านบาท ลดลง 30.7%YoY โดยรายได้ทรงตัว แม้ว่าจะไม่มีรายได้เกี่ยวกับโควิด-19 และฉีดวัคซีนเข้ามาเสริม แต่ได้ผลบวกจากการขยายตัวของ OPD และ IPD และผู้ป่วยแผนกเฉพาะทาง รวมถึงกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่ EBITDA margin ลดลงเหลือเหลือ 20.9% จากปีก่อนที่ 27.4% จากค่าใช้จ่ายบุคคลากรทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น
- ในเชิง Sentiment มองว่า PR9 เป็นหนึ่งในหุ้น Election play ที่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลทางการเมือง โดยหลังจากการเลือกตั้งราคาปรับตัวลงแรงกว่า 15.5% มองว่าเป็นจังหวะสะสมเนื่องจากไม่ได้เกี่ยวข้องในเชิง ปัจจัยพื้นฐาน ประกอบกับ valuation ปัจจุบัน ซื้อขายบน PE เพียง 26 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยกลุ่ม และปรับตัวลงจากระดับ 29 เท่าในช่วง 1Q66