หวัง MOU หนุนดัชนี / 1,508-1,520
มุมมองตลาดหุ้นวันนี้
- คาดดัชนี SET ภาคเช้าจะแกว่งตัว Sideway: รับความหวังจากนักลงทุนรอความคืบหน้าเรื่อง MOU ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งมีกำหนดนัดหมายเพื่อร่วมลงนามในวันนี้ โดยปัจจุบันรวบรวมได้แล้วกว่า 313 เสียง จาก 8 พรรค แม้ยังขาดอีกกว่า 63 เสียง จะครบ 376 เสียง หากมีความชัดเจนทางการเมืองในทางบวกเพิ่มขึ้น น่าจะหนุนตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวกลับขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่ปัจจัยจากภายนอกดูเป็นแรงกดดันทางลบ ทั้งการเจรจาเพดานหนี้สหรัฐที่ถูกเลื่อน ซึ่งทางทำเนียบขาวระบุการเจรจาเพดานหนี้ครั้งใหม่จะมีขึ้นต่อในคืนวันนี้ หากยังยืดเยื้อถึงวันที่ 1 มิ.ย. สหรัฐอาจผิดนัดชำระหนี้ครั้งประวัติศาสตร์ได้ โดยสาเหตุของการเลื่อนเจรจานั้นมาจากในวันศุกร์ที่ผ่านมา ปธน.โจ ไบเดนได้เดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อลงนามกลุ่ม G7 เพิ่มการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย รอบนี้เน้นไปที่สินค้ากลุ่มเพชรจากรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ในการประชุม G7 ครั้งนี้ได้มีการให้คำมั่นว่าจะไม่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ด้านราคาน้ำมันยังทรงตัวในแดนลบ เช้านี้ทดสอบระดับ 71 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากความกังวลเพดานหนี้สหรัฐจะกระทบต่ออุปสงค์ และอาจกระทบต่อกลุ่มพลังงานซึ่งเป็นกลุ่มที่ถ่วงน้ำหนักดัชนีสูงในเช้านี้ นอกจากนี้ ทางฝ่ายยังกังวลต่อ Fund-flow ต่างชาติที่ยังเดินหน้าขายหุ้นไทยแล้วกว่า 8 หมื่นล้านบาท (YTD) ซึ่งคอยกดดันดัชนีตลาดและเงินบาทให้อ่อนค่า สําหรับวันนี้ติดตามจีนเผยอัตราดอกเบี้ย LPR ซึ่งคาดคงไว้ที่ 3.65% ส่วนสัปดาห์นี้ติดตาม CPI อังกฤษในคืนวันพุธ, วันพฤหัสบดี GDP สหรัฐ หากฟื้นตัวได้จะเป็นบวกต่อตลาดหุ้น
- กลยุทธ์ลงทุน: 1) หุ้นพื้นฐานดีน่าสะสม: BBL, CK, CPN, KBANK, SIRI 2) Spending และท่องเที่ยว: AAV, AEONTS, COM7, KTC, MINT 3) ค่าเงินบาทอ่อน: DELTA, HANA, ITC, TU และ 4) หุ้น Trading Short: CBG, KEX, TRUE
ปัจจัยบวก
- ก.พาณิชย์เผย 4 เดือนแรกของปีนี้ มีต่างชาติได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจในไทย คิดเป็นมูลค่ากว่า 3.87 หมื่นลบ. (+6%y-y) ซึ่งช่วยหนุนการจ้างงานและเศรษฐกิจของประเทศ
- CAAM เผยจีนแซงญี่ปุ่นในการเป็นผู้ส่งออกรถยนต์อันดับ 1 ของโลก โดยปัจจัยเร่งจากยานยนต์ EV ที่เติบโต และไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางในการใช้และผลิตรถยนต์สัญชาติจีน
ปัจจัยลบ
- IIF เผย 1Q66 หนี้สินทั่วโลกเพิ่มขึ้น 8.3 ล้านล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 305 ล้านล้านดอลลาร์จากธนาคารทั่วโลกดำเนินนโยบายคุมเข้มทางการเงินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากความพยายามสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น
- อังกฤษประกาศคว่ำบาตรระลอกใหม่ต่อรัสเซีย โดยมุ่งเป้าไปยัง บ.ขนส่งพลังงาน, บ.ค้าอาวุธรายใหญ่ และห้าม นําเข้าโลหะหลายรายการจากรัสเซีย
- ผอ.สำนักงบประมาณเผยการจัดทำาจบประมาณปี 2567 ของไทยอาจล่าช้ากว่ากำหนด 6 เดือน ซึ่งอาจกระทบต่องบลงทุนกว่า 6.7 แสนล้านบาท
PICKS OF THE DAY
CK BUY
- เป้าหมาย 21.00 / 21.80 แนวรับ 19.70 / 20.00
- ได้งาน สปป.ลาว: สำหรับ Backlog หลังรวมเขื่อนหลวงพระบางไปแล้ว อยู่ที่ประมาณ 1.5 แสน ลบ. ทำให้ตอน นี้งาน Backlog จากต่างประเทศคิดเป็น 65% จาก Backlog ทั้งหมด ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยงด้านงานประมูลภาครัฐของไทยที่อาจล่าช้า
- คาดปีนี้กำไรโต ด้านราคาน่าเข้าซื้อ: ทางฝ่ายคาดกำไรปีนี้มีโอกาสเติบโตแตะ 1.4 พันล้านบาท (+28%y-y) โดยราคาเป้าหมายทางฝ่ายตั้งไว้ที่ 25.70 บาท จากความกังวลการเมืองในประเทศ ทำให้ราคาย่อตัวลงมาอยู่ในระดับต่ำ ทำให้มี Upside เหลือมาก จึงมองเป็นจังหวะในการเข้าซื้อ
KTC BUY
- เป้าหมาย 58.00 / 59.50 แนวรับ 54.75 1 55.50
- เปิดเทอมกระตุ้นยอดใช้จ่าย: คาดว่าการเปิดเทอมจะช่วยกระตุ้นยอดใช้จ่ายผ่านบัตร รวมไปถึงความต้องการสินเชื่อให้กับ KTC ซึ่งจะส่งผลดีต่อรายได้ดอกเบี้ย และรายได้ค่าธรรม เนียม นอกเหนือไปจากการกลับมาของการท่องเที่ยว และแรงกระตุ้นจากการเลือกตั้ง
- สินเชื่อ 1Q66 เกือบได้เป้าทั้งปีแล้ว: ใน 1Q66 KTC มีสินเชื่อเติบโตถึง 14.5% จากเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 15% และคาดว่าสินเชื่อน่าจะเติบโตได้ต่อ โดยทาง KTC อาจจะมีการพิจารณาปรับเป้าขึ้นในช่วง 2H66