- ประเมิน SET Index แกว่งตัว Sideway ลุ้นผ่านยืนแนวต้านเส้นกลาง Bollinger band ที่ 1,542 ผ่านยืนมั่นคง เป็นโมเมนตัมบวกลุ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 1,550 แนวรับ 1,530/1,518 ไม่ควรต่ำกว่าลงมา
- วันนี้เคาะ OR คงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 28.25 บาท
MARKET STRATEGY
สรุปตลาดวานนี้ SET ปิดที่ 1,536.51 จุด เพิ่มขึ้น 1.67 จุด (+0.11%) มูลค่าการซื้อขาย 44,657.53 ล้านบาท จาก Technical Rebound หลังร่วงลงหลุด 1,500 จุดในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นที่ราคาปรับตัวลงไปมาก
Research Highlight: จับตาการเจรจากันเพดานหนี้แบบวันต่อวัน// คาด กนง. ขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย
ปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯ ยังไม่ได้ข้อสรุป จับตาการเจรจากันวันต่อวัน
- การเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนี้รอบใหม่ ระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ ขณะที่นายแมคคาร์ธีกล่าวว่า เราจะเจรจากับ ปธน. ไบเดน แบบวันต่อวันจนกว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลง
- มองว่าจะกระทบต่อภาพรวมการลงทุนทั่วโลกจนกว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน และคาดหวังให้ผลลัพธ์ออกมาในทิศทางบวก ก่อน 1 มิ.ย. X-date)
- ล่าสุด ฟิทซ์ ประกาศให้เครดิตพินิจ (Rating Watch) ของสหรัฐเป็น “เชิงลบ” พร้อมระบุว่าอาจจะปรับลด อันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ AAA กระทบต่อต้นทุนทางการเงินที่อาจจะสูงขึ้น ตอกย้ำภาพเศรษฐกิจสหรัฐที่เปราะบาง สะท้อนผ่าน US bond yield ที่ปรับตัวขึ้น
- ในกรณีที่ร้ายแรงสุดหากไม่สามารถตกลงกันไข้ก่อน X-date อาจทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะ S&P500 ปรับตัวลงแรงกว่า 10% ซึ่งอาจเห็นทางการเลือกผ่านกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ได้เล็กน้อย (คล้ายช่วง ส.ค. 64) ทำให้สามารถยืด X-date ได้ไปอีก 2 เดือน แต่ก็จะกระทบต่อการใช้จ่ายของภาครัฐ
เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้ม ถดถอยใน 2H66
- ข้อมูลจาก Fed watch tool ระบุว่า ตลาดปรับน้ำหนักลงเหลือเพียง 65.26 จากสัปดาห์ก่อนที่ 775% ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC รอบเดือน มิ.ย. หลังจากรายงาน Fed minutes ระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า ความจำเป็นในการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นเริ่มมีน้อยลง แต่ไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าจะยุติการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
- ติดตาม PCE เม.ย. สหรัฐ ในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด
- ขณะที่ผลสำรวจของ Bloomberg ระบุว่า GDP 2Q66 ของสหรัฐ จะขยายตัวเพียง 0.5% เป็นระดับที่อ่อนแอ และต่ำกว่าระดับในไตรมาสแรกที่ขยายตัว 1.1% (ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 2.0%) และอาจหดตัวลงในช่วงครึ่ง หลังของปีนี้ เนื่องจากคาดว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนทางธุรกิจอาจลดน้อยลง หลังจากเกิดวิกฤตธนาคารรขนาดกลาง-เล็ก ในช่วงที่ผ่านมา
ตลาดคาด ธปท.อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งสุดท้ายในสัปดาห์หน้าสิ้นสุดวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
- ตลาดคาด ธปท.อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งสุดท้ายในช่วงสิ้นเดือนนี้อีก 0.25% สู่ระดับ 2.00% และจากนั้นจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับดังกล่าวไปสักระยะ หลังจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2565 ช่วยฉุดเงินเฟ้อกลับคืนสู่เป้าหมายได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี
- เศรษฐกิจไทยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวในภาคการท่องเที่ยวและการเปิดประเทศของจีน ดังนั้น ธปท.จึง สามารถที่จะปรับชื้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้อีกหนึ่งครั้ง
- เงินเฟ้อทั่วไปของไทยชะลอตัวลงทุกเดือนนับตั้งแต่เดือนม.ค. โดยกลับสู่กรอบเป้าหมาย 1%-3% ของธปท. ในเดือนมี.ค. ตามฐานที่สูงในปี 65 รวมถึงแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่คาดว่าจะทรงตัวไม่เกิน 90$/บาร์เรล ขณะที่แรงกดดันจากการดำเนินนโยบายแบบตึงตัวของธ.กลางทั่วโลก เริ่มผ่อนคลายลง
- ทิศทางค่าเงินบาท คาดว่าจะได้แรงหนุนจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะกลับมาเกินดุล จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อิงข้อมูลล่าสุด 22 พ.ค. นักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วกว่า 9.47 ล้านคน (เทียบกับเป้าหมายของสภาพัฒน์ 28 ล้านคน) แต่ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมือง และเฟดยังคงส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง
ส.อ.ท.รายงานส่งออกรถยนต์ เม.ย. สดใส
- ส.อ.ท. รายงานยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือน เม.ย.66 อยู่ที่ 79,940 คัน เพิ่มขึ้น 4353% YoY แต่ลดลง 18.74%MoM ตามฐานต่ำของปีก่อน ที่มีการขาดแคลนชิปจากการเกิดสงครามยูเครน และการล็อคดาวน์เซียงไฮ้
- ภาพรวมการส่งออกในปีนี้มั่นใจว่าจะเกินเป้าที่ตั้งไว้ 105 ล้านตัน แต่ไม่มั่นใจว่าการผลิตจะได้ตามเป้า 1.95 ล้านคันหรือไม่ กรณีที่จะมีการพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 150 บาทนั้น ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานต์ยนต์โดยตรง เพราะจ่ายค่าแรงสูงกว่าอยู่แล้ว แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่อยู่ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
- เป็น Sentiment เชิงบวกต่อ SAT STANLY AH แนะนำ Trading
ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจ
- 25 พ.ศ. GDP Q1 สหรัฐ// จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก
- 26 พ.ค. ยอดคำสั่งซื้อค้าคงทน (เม.ย.) // PCE Price Index (เม.ย.)
Investment Strategy
- ประเมิน SET แกว่งตัว sideway ลุ้นผ่านยืนแนวต้านเส้นกลาง Bollinger band ที่ 1542 ผ่านยืนมั่นคงเป็น โมเมนตัมบวก ลุ้นทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 1550 แนวรับ 1530/1518 ไม่ควรต่ำกว่าลงมา
- แนะนํา Selective buy ในกลุ่มธนาคาร KBANK KTB KKP ค้าปลีก BJC HMPRO และท่องเที่ยว AOT MINT ERW SHR
Global Markets
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนึ่ ที่ยังไม่มีความคืบหน้าอาจจะส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้และฉุดรั้งเศรษฐกิจให้อ่อนแอลงอีก
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดร่วงลงจากแรงเทขายลอตใหม่ ซึ่งฉุดตลาดลงวันเดียวมากที่สุดในรอบ 2 เดือน ท่ามกลางความวิตกว่าแทบไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาเรื่องเพดานหนี้ของสหรัฐ ขณะที่การพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของอังกฤษ และการที่หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราร่วงลงอีกนั้นได้ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขาย
(+) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดพุ่งขานรับสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งบ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง
(-) สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดลบเนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์ยังคงเป็นปัจจัยฉุดตลาด ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2566 และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
หุ้นเคาะไป คุยไป…OR
- OR ประกาศกำไรสุทธิ 1Q66 อยู่ที่ 2,975.01 ล้านบาท (0.248 บาทต่อหุ้น) ลดลง -22.6%YoY (จากฐานที่สูงเพราะเป็นช่วงราคาน้ำมันดิบขาขึ้น) และเพิ่มขึ้น +500%QoQ (4Q65 มีการนำเข้าน้ำมันเพิ่มและนโยบายภาครัฐที่กดต้น) แม้ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยใน 1Q66 ได้ปรับลดลง -16%YoY และ -5.4%QoQ ส่งผลให้รายได้ของ OR ลดลง แต่ทว่ากำไรธุรกิจกลุ่ม Mobility ฟื้นตัวเด่นใกล้เคียงภาวะปกติ โดยมีกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรใน 1Q66 ขยับเพิ่มมาอยู่ที่ 1.01 บาทต่อลิตร ปรับลดลง -11.4YoY และ +110.4%QoQ
- เราประเมินกำไรสุทธิปี 66 และปี 67 เท่ากับ 14,667 ล้านบาท (+41%YoY) และ 17,466 ล้านบาท (+19.1% YoY) โดยเรามองว่า OR จะได้รับประโยชน์จากกิจกรรมการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งจากพฤติกรรมของประชาชนปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ และปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณขายน้ำมันเร่งตัวกลับสู่ระดับค่าเฉลี่ยก่อนช่วงโรคระบาด ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่ทยอยปรับลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน จะส่งผลให้ความจำเป็นต่อการตรึงราคาน้ำมันน้อยลง และจะส่งผลให้ธุรกิจกลุ่ม Mobility QR มีค่าการตลาดน้ำมันที่ดีขึ้นได้ นอกจากนี้ จำนวนปั๊ม 1Q66 เพิ่มขึ้น 3.8%YoY มาอยู่ที่ 2,169 สาขา ขณะที่ธุรกิจกลุ่ม Lifestyle ที่ได้มีการขยายจุดเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย 1Q66 มีสาขาร้านเครื่องดื่มและอาหารในเครือรวมกันอยู่ที่ 4,170 จุด เพิ่มขึ้นราว 7%YoY
- เราคงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 28.25 บาท อิง PE 23 เท่า (ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย -0.5SD ย้อนหลัง 1 ปี) EPS ปี 2566 เท่ากับ 1.22 บาท และจากราคาปัจจุบันมี upside 23.9% อีกทั้งยังมีปันผลอีก 2.5% โดยปัจจุบัน OR ซื้อขายที่ Forward PE ratio เพียง 18.7 เท่า หรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย SD-2.0 เราคาดว่าผลประกอบการของ OR ฟื้นตัวต่อเนื่องและฟื้นตัวแรงในไตรมาสสุดท้ายที่เป็นฤดูท่องเที่ยว
- ปัจจัยเสี่ยง: เศรษฐกิจชะลอตัว ต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ต้นทุนทางการเงิน ความเสี่ยงต่อการเก็บและการขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม, ความเสี่ยงจากนโยบายภาครัฐเนื่องจากเป็นรัฐวิสาหกิจ, ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมรถยนต์