บล.บัวหลวง:
Healthcare – BCH จะโดดเด่นกว่ากลุ่มฯ ในไตรมาส 2/66 (NEUTRAL)
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มโรงพยาบาลในระยะยาว แต่ในระยะสั้นจะเล่นตามปัจจัยฤดูกาลในไตรมาส 2/66 มีเพียง BCH เท่านั้นที่จะรายงานการเติบโตโดดเด่นในช่วงโลว์ซีซั่นในปีนี้ เมื่อมองไปข้างหน้า ผู้ป่วยจาก CLMV จีน และฝั่งตะวันออกกลางจะหนุนการเติบโตในระยะกลางถึงระยะยาว
แนวโน้มไตรมาส 2/66 ไม่น่าตื่นเต้น ใครจะโดดเด่นกว่ากลุ่ม?
ประมาณการกำไรกลุ่มโรงพยาบาลที่เราให้คำแนะนำในไตรมาส 2/66 แตะระดับต่ำสุดประจําปี (จากปัจจัยฤดูกาลและรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่ลดลงอย่างมากเนื่องจากช่วงรอมฎอน) เราประมาณการกำไรหลักรวมเบื้องต้นในมาสนี้ที่ 4.7-4.9 พันล้านบาท ลดลง 18-20% YoY และลดลง 12-15% QoQ ทั้งนี้ BDMS และ BH จะรายงานกําไรหลักเติบโต YoY ในไตรมาส 2/66 จากฐานที่ต่ำในไตรมาส 2/65 แต่ลดลงจากสถิติสูงสุดในไตรมาส 1/66 CHG จะรายงานประกอบการที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาล (ลดลง YoY และ QoQ) จากต้นทุนที่สูงขึ้นและการเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่ ซึ่งส่งผลให้บริษัทรายงานภาระขาดทุน 50 ล้านบาทในปีนี้ และเริ่มพลิกกลับเป็นกําไรภายใน 3-4 ปีเท่านั้น
มีเพียง BCH ที่จะโดดเด่นกว่ากลุ่มในช่วงโลว์ซีซั่นในไตรมาสนี้ (ลดลง YoY แต่เพิ่มขึ้น QoQ) จากรายได้จากโควิดที่สูงขึ้น การกลับมาของผู้ป่วยต่างชาติ อัตราสําหรับผู้ป่วยเงินสดและผู้ป่วยประกันสังคมที่สูงขึ้น ผู้บริหารกล่าวว่า กําไรผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 1/66 และโมเมนตัมรายได้จะเพิ่มขึ้น QoQ ทุกไตรมาสหลังจากนี้ นอกจากนี้ หลังวันหยุดสงกรานต์ 13-15 เม.ย. BCH พบการกลับมาของผู้ป่วยโควิด-19 (ผู้ป่วยนอก 200-300 ราย/วัน และผู้ป่วยใน 150-200 ราย/วัน)
CLMV จีน และฝั่งตะวันออกกลางจะหนุนธุรกิจในปี 2566
จากโมเมนตัมที่แข็งแกร่งที่ได้เห็นจนถึงตอนนี้ เราคาดว่าการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์จะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ในปีนี้ ในบรรดาประเทศหลัก เรามองเห็นช่องว่างสําหรับการเติบโตของผู้ป่วยจากประเทศในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) เนื่องจากปริมาณผู้ป่วยยังไม่กลับสู่ระดับช่วงก่อนโควิด เรายังเห็นขอบเขตการเติบโตของผู้ป่วยจากจีนและซาอุดีอาระเบีย โดยพิจารณาจากฐานที่ต่ำ ซึ่งจะส่งผลดีต่อ BDMS BH และ BCH มากที่สุด เนื่องจากธุรกิจผู้ป่วยต่างชาติคิดเป็น 64% ของรายได้ในปี 2565
คําแนะนํา
สําหรับปีนี้ภาพกลุ่มโรงพยาบาล เราแนะนำซื้อ BDMS แต่แนะนำคือ BH เนื่องจากราคาหุ้นเต็มมูลค่าแล้วและราคาหุ้นได้แตะราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2566 ที่ 250 บาท และ ดังนั้นเราจึงเห็นอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน ที่ไม่น่าสนใจ เราชอบ BDMS เนื่องจากเป็นหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่เล่นในระยะยาว และ BCH ในระยะสั้น (รายได้ของโรงพยาบาลขนาดกลางจะรายงานการเติบโตที่แข็งแกร่ง YoY และ HoH ในครึ่งหลังของปี 2566) ปัจจุบัน PER ปี 2566 ของ CHG อยู่ที่เพียง 27.6 เท่า (ต่ำที่สุดในกลุ่มโรงพยาบาลที่เราให้คําแนะนํา) ตามมาด้วย BCH ที่ 31.7 เท่า ปัจจุบันโรงพยาบาลระดับไฮเอนด์ (BDMS และ BH) ซื้อขายที่ PER ใกล้เคียงกันในปี 2566 โดย BDMS ชื้อขายที่ PER ที่ 34.2 เท่า และ BH ที่ 33.3 เท่า ราคาหุ้นเต็มมูลค่าแล้วในปีนี้ เรามองว่าการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลขนาดกลางเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ เนื่องจากโดยปกติแล้วไตรมาสแรกจะอ่อนแอตามปัจจัยฤดูกาล สําหรับโรงพยาบาลขนาดกลาง