บล.บัวหลวง:
Civil Engineering (CIVIL TB/CIVIL.BK)
CIVIL – Bottom-fishing: หุ้นรับเหมาฯ ที่เก็บสะสมได้
จากงาน Opportunity day วานนี้ ทำให้เรามั่นใจมากขึ้นว่า CIVIL เป็นหุ้นในกลุ่มรับเหมาฯ ที่สามารถ “ทยอยสะสม” เล่นแรลลี่ในระยะกลางได้ดีกว่าคู่เทียบอื่นๆ จาก 1) แรงกดดันด้านต้นทุนวัสดุก่อสร้าง และโครงการ Margin ใกล้จบแล้ว 2) ผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงจะไม่ได้มากเหมือนที่กังวลกัน และที่สําคัญ 3) เตรียมลงนามโครงการใหญ่เพิ่ม Backlog ขยายเท่าตัว รองรับฐานรายได้มั่นคงขึ้น
เริ่มยิ้มได้ หลังมรสุมลูกใหญ่ผ่านไป
โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน สัญญา 2-1 ที่ GM ต่ำมาก และฉุดภาพรวมอัตรากําไรปีที่แล้ว มีความคืบหน้าแล้ว 99% ณ สิ้น มี.ค. 2023 และจะจบในเร็วๆ นี้ ถือว่าเร่งงานได้เร็วกว่าที่ประเมินไว้ ทำให้ภาพรวม GM ก่อ สร้างฯ ปีนี้มีโอกาสจะขยับไปอยู่ระดับ 8-9% ได้ (สูงกว่าประมาณการเราที่ 7.8%) ขณะที่ต้นทุนวัสดุก่อสร้างก็ผันผวนน้อยลงแล้ว (แต่ยังคงยืนระดับสูง ซึ่งจะชดเชยได้ด้วยค่า K อยู่แล้ว) ส่วนงานใน Backlog ที่มีก็รองรับเป้าหมายรายได้บริษัทที่ 6 พันล้านบาทอยู่แล้ว ซึ่งสูงกว่าประมาณการเราเล็กน้อย
Backlog มีโอกาสเด้ง “เท่าตัว” ใน 2H23
ผู้บริหารอัพเดทข้อมูลที่น่าสนใจว่า ปัจจุบัน CIVIL อยู่ระหว่างรอลงนามสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ สัญญา 4-5 มูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างรอสำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบตรวจสอบร่างสัญญา คาดว่าจะแล้วเสร็จ มิ.ย.-ก.ค. 23 และจะทำให้งาน Backlog เพิ่มเป็นเท่าตัวจากปัจจุบันที่ 1.1 หมื่นล้านบาท และสามารถรองรับการเติบโตได้อีก 2-3 ปีจากนี้ ทั้งนี้ งานดังกล่าว CIVIL มีความได้เปรียบในแง่ทำเลที่ตั้งใกล้กับแหล่งหินปูน ของตนเอง และ Economy of scales จากความต่อเนื่องกับสัญญา 4-7 ที่ปัจจุบันดำเนินไปแล้ว 48% โดยจะเป็นการทำงานที่มีต่อเนื่องกันอีกด้วย ส่วนงาน Potential อื่นๆ มองไว้ราว 8 หมื่นล้านบาท และคาดหวังว่าจะมีโอกาสได้ พันธมิตรเข้าร่วมประมูลโครงการ PPP ในอนาคตเมื่อการเมืองปลดล็อคด้วย
ผลกระทบจากค่าแรงขั้นต่ำ อาจไม่ได้โดนตรงๆ ทั้งก้อน
เราประเมินผลกระทบการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ อิงสมมติฐานสัดส่วนต้นทุนค่าแรงในแต่ละกลุ่มต่อต้นทุนขาย แบ่งเป็นกลุ่มแรงงานขั้นต่ำ 3% (สมมติฐานปรับขึ้น 27% เป็น 450 บาท) จ่ายมากกว่าขั้นต่ำ 3% (ปรับขึ้นเฉลี่ย 10%) และกลุ่มรับเงินเดือน 4% (ปรับขึ้นเฉลี่ย 10%) ได้ตัวเลขผลกระทบต่ออัตรากําไรหลักปี 2023 (คิดแค่ 4Q23) และ 2024 ที่ 0.2% และ 0.9% ตามลำดับ และกระทบต่อประมาณการกำไรปี 2023-24 ที่ 10% และ 28% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเป็นการประเมินแบบมองโลกในแง่ร้ายที่สุด (Worst case)
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง พลวัตของการปรับฯ ยืดหยุ่นมากกว่านั้น จาก 1) งานปัจจุบันจํานวนมาก ล็อคค่าจ้าง Sub-contractors ไว้อยู่แล้ว 2) งานใหม่ที่จะประมูลข้างหน้าก็จะบวกผลกระทบเรื่องค่าแรงเข้าไปอยู่แล้ว ดังนั้น เราจึงประเมินเบื้องต้นว่าผลกระทบต่อกำไรปี 2023-24 จริง (Base case) น่าจะอยู่ที่ 5-7% และ 15-20% ตามลำดับ ซึ่งน้อยกว่าที่เคยกังวลก่อนหน้า
Valuation จูงใจ แม้จะรวมผลกระทบค่าแรงกรณีอนุรักษ์นิยมแล้ว
เรายังคงแนะนำสะสม CIVIL ในระยะกลาง (คงราคาเป้าหมาย 3.30 บาท) แม้ระยะสั้นยังมีประเด็นกดดันจากค่าแรงฯ แต่ก็เป็นด่านท้ายๆ ก่อนเข้าโหมดของการแรลลี่รอบใหม่แล้ว เพราะมอง Downside risk ต่อ Valuation จำกัดปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายบน PER ปี 2023 เพียง 10.6 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ 15-16 เท่าอยู่มาก และแม้รวมผลกระทบค่าแรงแบบ Worst case ยังคงต่ำมากที่ 12 และ 10 เท่า สำหรับปี 2023-24 ตามลำดับ