บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):  

Electronics Sector ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

Event

อัพเดตแนวโน้มอุตสาหกรรม

Impact

เฟสของการ correction ในอุตสาหกรรมมีโอกาสใกล้ถึงช่วงสุดท้าย

เฟสของการ correction ในอุตสาหกรรมรอบนี้อาจจะสั้นกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และอาจจะจบลงในเร็วๆ นี้ จากหลายๆ ปัจจัยด้วยกัน ประการแรก ยอดขาย semiconductor โลกลดลงอย่างมากภายในระยะเวลาสั้น โดยลดลงถึง 23% จากเดือนพฤษภาคม 2565 ถึงกุมภาพันธ์ 2566 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของการ correction ในรอบก่อนๆ ที่ลดลง 27% ซึ่งรอบนี้กินเวลาเพียง 10 เดือน จากค่าเฉลี่ยในอดีตที่กินเวลาถึง 18 เดือน ประการที่สอง ยอดขาย semiconductor โลกฟื้นตัวขึ้น MoM เป็น 3.995 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ (-22% YoY, +0.3% MoM) ในเดือนเมษายน 2566 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้น MoM ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง ประการที่สาม ดัชนี ISM ภาคการผลิตทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 46-47 ในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2566 และประการสุดท้าย ระดับสต็อกในปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่เยี่ย 1.7 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)ใกล้เคียงกับจุดอิ่มตัวในอดีตที่ 2-3 S.D.

หลายกลุ่มย่อยๆจะอ่อนแอใน 1H23 แต่จะกลับมาโตได้อีกครั้งใน 2H66

เราคาดว่ากลุ่มย่อย หลายๆ กลุ่ม ซึ่งได้แก่ PC, Smartphone, ยานยนต์ และ server จะกลับมาโตได้อีกครั้ง ใน 2H66-2567 หลังจากที่ผลการดำเนินงานอ่อนแอใน 1H66 ทั้งนี้ ยอดส่งออก PC ทั้งโลกลดลง 30% YOY ใน 10% และคาดว่าสินค้าในสต็อกจะถูกใช้หมดใน 2Q66 ซึ่งจะทำให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้งใน 2H66 ส่วนยอดส่งออก smartphone ทั้งโลกลดลง 14% YoY ใน 1Q66 และคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้งใน 2H66 ในขณะที่คาดว่าจะโตอีก 6% ในปี 2567F จากการใช้งานเครื่องระบบ 5G นอกจากนี้ ยังคาดว่ายอดขายรถยนต์ทั่วโลกจะโต 5% ในปี 2566F และโตต่อเนื่องอีกประมาณ 3% ในอีกสามปีข้างหน้า (2567F-2569F) ส่วนยอดส่งออก server ทั้งโลกคาดจะหดตัว 7% ในปีนี้ ก่อนจะกลับมาฟื้นตัวในปี 2567F ที่ 8% YoY

ยังมีบางปัจจัยที่น่าเป็นห่วง ต้องจับตาสถานการณ์โดยรวม อาจมีการ re-rate PER เมื่ออุตสาหกรรมฟื้น

เรายังเป็นห่วงบางปัจจัยที่อาจจะทำให้มีการเลื่อนคำสั่งซื้อ และฉุดอัตรากำไร ได้แก่ i) ความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะถดถอย เพราะตลาดคาดว่า GDP สหรัฐจะหดตัว QoQ ใน 3Q66F-4Q66F ii) S&P Global Electronics PMI ลดลงมาอยู่ที่ 48.2 ในเดือนเมษายน 2566 จาก 48.4 ในเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งอาจเป็นการบ่งชี้ว่าอุปสงค์กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง iii) การแข็งค่าของเงินบาทใน 2H66F โดยเราใช้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนปีนี้ที่ 33.80 บาท/ดอลลาร์ฯ iv) โอกาสที่จะมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยตามนโยบายของพรรคก้าวไกล (จากประมาณ 350 บาท/วัน เป็น 450 บาท/วัน) ซึ่งจากการศึกษาของเราพบว่า ค่าแรงเพิ่มขึ้นทุกๆ 5% จะทําให้กำไรในกลุ่มลดลง 4.8% ทั้งนี้ เมื่อความกังวลในประเด็นเหล่านี้มีความชัดเจนแล้ว เราอาจจะเห็นการ re-rate PER เพื่อสะท้อนขาขึ้นรอบใหม่ของอุตสาหกรรม

ประมาณการ 2Q66F: กำไรจะลดลง YoY แต่จะเพิ่มขึ้น QoQ

เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักใน 2Q66F ของหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่เราศึกษาอยู่ (Delta Electronics (Thailand) (DELTA.BK/DELTA TB), Hana Microelectronics (HANA.BK/HANA TB)*, KCE Electronics (KCE.BK/KCE TB)* และ SVI (SVI.BK/SVITB)) จะอยู่ที่ 4.9 พันล้านบาท (-9YoY, +16%QoQ) โดยคาดว่ากำไรของทุกบริษัทจะดีขึ้น QoQ เนื่องจากอัตรากำไรดีขึ้น ในขณะเดียวกัน เราคาดว่า กำไรของ HANA และ KCE จะหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ YoY เพราะ margin ถูกบีบ

Valuation & action

ถึงแม้จะเริ่มเห็นสัญญาณการพลิกฟื้นของอุตสาหกรรม แต่ยังมีความเสี่ยงบางประการที่ยังต้องจับตา ดังนั้นเราจึงยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ Underweight เราแนะนำ “ขาย” DELTA โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 59.00 บาท (เท่ากับ 590 บาทก่อนแตกพาร์) และแนะนำ “ขาย” HANA โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 35.00 บาท เราแนะนำ “ถือ” KCE โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 36.50 บาท และแนะนำ “ถือ” SVI โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 8.50 บาท

Risks ธรรมชาติ, มีการปิดโรงงานนอกแผน, ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก supplier รายอื่น, ความล่าช้าในการจัดส่งสินค้า, ขาดแคลนวัตถุดิบ, และเงินบาทแข็งค่าขึ้น

- Advertisement -