จับตาเส้นทางของดอกเบี้ย / 1,525-1,545 11

มุมมองตลาดหุ้นวันนี้

  • คาด SET แกว่งตัว Sideways down: ท่ามกลางแรงกดดันจากความกังวลการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังสหรัฐฯ เผยตัวเลขเริ่มต้นสร้างบ้านพุ่งขึ้นสู่ 1.63 ล้านยูนิตในเดือนพ.ค. สูงสุดในรอบ 13 เดือน และสูงกว่าตลาดคาดและเดือน เม.ย.ที่ระดับ 1.40 และ 1.24 ล้านยูนิตตามลำดับ ซึ่งบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของตลาดอสังหาฯ และจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด สอดรับกับ CME FedWatch Tool ที่ให้น้ำหนัก 78.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% ในรอบการประชุมเดือนก.ค. อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังรอติดตามถ้อยแถลงของปธ.เฟดต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาในวันนี้และพรุ่งนี้ตามลำดับ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะศก.สหรัฐฯ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ SET Index คาดถูกกดดันจากหุ้น DELTA ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง หลังติด Cash Balance และมีความเสี่ยงที่จะหลุดออกจากการคำนวณใน SET50/100 ในรอบ 1H67 สอดรับกับเมื่อวานนี้ที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 60,685 สัญญาใน SET50 Index Futures อย่างไรก็ตาม ทางลงของ SET Index ในวันนี้คาดจำกัด โดยได้แรงพยุงจากแรงเก็งกำไรในหุ้นที่ส่งออกไป/มีฐานการผลิตในจีน รวมถึงหุ้นอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับจีน หลังวานนี้จีนส่งสัญญาณผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR อีกทั้งยังมีความหวังว่าทางการจีนอาจมีการออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมในระยะต่อไป กอปรกับ SET Index ยัง ได้รับ Sentiment ทางบวกจากความคืบหน้าของการเมืองไทย หลังเมื่อวานนี้ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ผลการเลือกตั้งส.ส.
  • กลยุทธ์ลงทุน: 1) ความหวังจีนกระตุ้นศก.: AAV, IVL, NER, SNNP, SPA 2) ดอกเบี้ยขาขึ้น: BBL, BLA, TIPH, TTB 3) Spending+ท่องเที่ยว: AP, BTG, ERW, MAJOR, MINT, OR และ 4) Window Dressing: BEM, CRC, LH, PTTGC, SCGP

ปัจจัยบวก

  • กองศก.การท่องเที่ยวและกีฬาเผยประเทศไทยมีจํานวนนทท. ต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-18 มิ.ย. ทั้งสิ้น 11.9 ล้านคน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนทท.ต่างชาติแล้ว 4.94 แสนลบ.
  • IMD เผยรายงานขีดความสามารถในการแข่งขันโลกประจำปี 66 โดยประเทศไทยติดอยู่ในอันดับที่ 30 จากทั้งหมด 64 อันดับ ขยับขึ้น 3 อันดับเมื่อเทียบกับปี 65
  • 10 ปีย้อนหลังใน 2Q พบโอกาสเกิด Window Dressing 60% โดยผลตอบแทนเฉลี่ยในปีที่เกิดอยู่ที่ +1.47%

ปัจจัยลบ

  • HSBC คาด GDP ของจีนจะเติบโต 5.3% ในปี 66 จากที่เคยคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเติบโต 6.3% เนื่องจากศก.จีน เผชิญแรงกดดันจากภาคอสังหาฯที่ซบเซา รวมถึงความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนที่ลดลง ขณะที่ซิตี้กรุ๊ปได้ลดคาด GDP จีนสำหรับปี 66 สู่ 5.5% จากก่อนหน้านี้ที่ 6.1%
  • PwC เผยผลสำรวจแรงงานทั่วโลก พบว่าพนักงาน 25% คาดว่าจะเปลี่ยนงานในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้น 19% จากปีที่แล้ว จากรายได้ไม่เพียงพอกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางภาวะศก.ชะลอตัว และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
  • อังกฤษจะรายงานเงินเฟ้อเดือนพ.ค.ในวันนี้ ตลาดคาด CPI ขยายตัว 8.5% y-y ชะลอลงเพียงเล็กน้อยจาก 8.7% y-y เดือนเม.ย. ทั้งนี้เงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงจะเป็นแรงหนุนให้ BoE เดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไป

PICKS OF THE DAY

BEM BUY

  • เป้าหมาย 8.75 / 9.00 แนวรับ 8.20 / 8.30
  • 2Q66 คาดกำไรโต y-y, q-q: ผู้ใช้ทางด่วนและรถไฟฟ้ายังฟื้นตัว โดย 2M2Q66 +8.3% และ +64.4% แม้จะชะลอ q-q ตามฤดูกาลเป็นปกติจากปิดเทอมและวันหยุดยาว แต่ก็จะมีเงินปันผลจาก TTW และ CKP ที่ 337 ลบ. ทำให้กำไรสุทธิโตได้ทั้ง y-y, q-q
  • ได้ประโยชน์จากสายสีเหลือง: ครึ่งปีหลังยังเห็นการฟื้นตัว y-y และจะได้สายสีเหลืองที่เปิดทดลองใช้ โดย 19 มิ.ย. ซึ่งเปิดครบทั้ง 23 สถานีมีผู้ใช้สายสีเหลือง 6.5 หมื่นคน ซึ่งส่วนหนึ่งจะมาต่อรถไฟฟ้าของ BEM เข้าเมือง อีกทั้งปลายปีก็จะมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้กำไรในครึ่งปีหลัง จะยังดีต่อเนื่อง

TTB BUY

  • เป้าหมาย 1.65 / 1.75 แนวรับ 1.50 / 1.55
  • คาด 2Q กำไรโต y-y q-q: คาดว่า TTB จะมีกำไร 2Q66 4.4 พันลบ. เพิ่มขึ้น 26.6% y-y และ 1.4% q-q โดยการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ย ซึ่งเป็นผลจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้กำไรเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ค่าใช้จ่าย และการตั้งสำรองใกล้เคียงเดิม
  • ได้ประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือ SME: ถึงแม้ว่าการควบรวมกับ ธ.ธนชาติจะทำให้สินเชื่อรายย่อยเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของสินเชื่อทั้งหมดของ TTB แต่ TTB ก็ถือเป็นธนาคารที่มีสินเชื่อ SME อยู่มาก ซึ่งจะได้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลใหม่
- Advertisement -