ASL ANALYSIS GUIDE

ประเมิน SET แกว่งตัว Sideway down ระยะสั้นเน้นยืนแนวรับ 1,530 ต่ำกว่ารอเล่นรอบใหม่ที่ 1,518 แนวต้านทดสอบ 1,550/1,562

ประเด็นการลงทุน
1. Banking sector earnings preview 2Q66F
2. คัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสถูกทำ Window dressing
  • วันนี้เคาะ TASCO แนวโน้ม 2Q66 เป็นช่วง High season ของธุรกิจ โดยราคาขายยางมะตอย ปรับตัวขึ้น

MARKET STRATEGY

สรุปตลาดวานนี้ SET ปิดที่ 1,537.59 จุด ลดลง 19.33 จุด (-1.24%) มูลค่าซื้อขาย 45,983.21 ล้านบาท รับแรงกดดันจากแรงขายหุ้น DELTA หลังจากติด Cash Balance เป็นปัจจัยที่ฉุดดัชนี

Research Highlight; ติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟดต่อสภาครองเกรส // Earnings preview 2Q66F กลุ่มแบงค์

Banking sector earnings preview 2066F

  • เราได้รวบรวมประมาณการผลประกอบการ 2066 ของกลุ่มธนาคารจาก Bloomberg โดยภาพรวมของกลุ่มคาดว่าจะรายงานกำไรสุทธิรวม 5.1 หมื่นล้านบาท (+3%QoQ, +16%YoY) โดยธนาคารที่คาดว่าจะรายงานกำไรสุทธิที่ขยายตัวทั้ง QoQ และ YoY ได้แก่ BBL KBANK KTB และ SCB
  • แนวโน้มที่ขยายตัวได้เล็กน้อย QoQ มาจาก Loan yield ที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อที่กลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวใน 1Q ตามปัจจัยฤดูกาลชำระคืนหนี้ของธุรกิจ ขณะที่ YoY โดดเด่นตาม Loan yield ที่สูงขึ้นเช่นกัน และการตั้งสำรองที่คาดว่าจะลดลง แต่ได้รับผลกระทบการนำเงินส่งเข้ากองทุน FIDF
  • ปัจจัยที่จะกระทบต่อราคาหุ้นในกลุ่ม 1. ความเสี่ยงของลูกหนี้ โดยแนวโน้ม NPLs เริ่มสูงขึ้น หลังจากที่เครดิตบูโรออกมาให้ข้อมูลว่าสินเชื่อเช่าซื้อมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็น NPL จํานวนมาก เป็นลบต่อพอร์ทเช่าชื่อ 2. การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ยังไม่ผ่าน Peak level มองเป็นบวกต่อกลุ่มแบงค์ใหญ่ ที่จะหนุนให้ NIM ปรับตัวขึ้นได้บ้าง แต่แบงค์กลาง-เล็ก ที่มีสินเชื่อเช่าซื้อซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่และเป็นสินเชื่อที่ไม่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในสัดส่วนที่สูง จะได้รับผลลบมากกว่าจาก Cost of fund ที่ยังปรับขึ้นได้อีก
  • หากผลประกอบการออกมาตามคาด มีโอกาสที่จะเห็น earning revision ในช่วงปลายเดือนก.ค.-ต้น ส.ค. เนื่องจากผลประกอบการ 1H66 จะคิดเป็นเกือบ 50% ของประมาณการทั้งปี มองเป็นจังหวะที่เพิ่มน้ำหนักการลงทุน แนะนำ Overweight กลุ่มธนาคาร โดยเลือก Top pick เป็น SCB KBANK และ BBL ตามลำดับ

คัดเลือกหุ้นที่มีโอกาส ถูกทำ Window dressing

  • เราคาดว่ามีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะถูกทำ Window dressing รอบ ครึ่งปี เนื่องจากพิจารณาผ่าน valuation ตลาด ที่ EYG ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยหลังเกิดโควิด ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.8% (ได้รวมคาดการณ์ กนง. ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งแล้ว) สะท้อนผ่านหุ้นใน SET 100 มีเพียง 19 หลักทรัพย์ที่การเปลี่ยนแปลงของราคาตั้งแต่ต้นปีมากกว่า 0% ประกอบกับโมเมนตัมของนักลงทุนสถาบันที่ยังซื้อสุทธิ 3.8 หมื่นลบ. YTD ขณะที่ sentiment ด้านปัจจัยการเมืองเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น เป็นแรงหนุนให้มีโอกาศที่สถาบันเข้าซื้อต่อเนื่อง
  • เกณฑ์การคัดเลือกของฝ่าย มีดังนี้ 1. เป็นหุ้นใน SET 100 2. ราคาหุ้นปรับตัวลง YTD <0% 3. ค่า Alpha โดยเฉลี่ย >0% ในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือน มิ.ย. ย้อนหลัง 3 ปี
  • Top pick ที่เรามองว่ามีโอกาสจะถูกทำ Window dressing ได้แก่ SCC SCGP CBG ASW และ BANPU

Investment Strategy

  • แนวโน้ม SET มีโอกาสแกว่งตัว sideway down ตามต่างประเทศ ขานรับแรงกดดันจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ที่ทำได้เพียงการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อาจไม่เพียงพอต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจและการบริโภคของจีน ซึ่งจะส่งผลต่อไปยัง demand ทั่วโลกที่จะชะลอตัวลง รวมถึงยังกังวลเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านพุ่งขึ้นสูงกว่าคาด บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของตลาดอสังหา  แม้ว่าจะมีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ต้องจับตาเจอโรม พาวเวล, จะแถลงนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจรอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้
  • ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงกดดันกลุ่มพลังงานให้ฉุดดัชนี แต่กลุ่ม Anti-commodity น่าสนใจ เราชอบ SCC SCGP TASCO CBG TOA
  • ระยะสั้นเน้นยืนแนวรับ 1530 ต่ำกว่ารอเล่นรอบใหม่ที่ 1518 แนวต้านทดสอบ 1550/1562

Global Markets

(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร หลังจากตลาดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะอุปสงค์ชะลอตัวทั่วโลก ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งจะแถลงนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจรอบครึ่งปีต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบเนื่องจากหุ้นที่เกี่ยวกับจีนร่วงลง หลังนักลงทุนผิดหวังที่จีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด ซึ่งอาจไม่สามารถกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของเศรษฐกิจจีน

(-) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดลบ โดยตลาดถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมันในประเทศจีน รวมทั้งข่าวอิหร่านและรัสเซียเพิ่มการส่งออกน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น

(-) สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดร่วงลง เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์เป็นปัจจัยฉุดตลาด นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านสูงกว่าคาด ซึ่งบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของตลาดอสังหาริมทรัพย์

หุ้นเคาะไป คุยไป…TASCO

  • TASCO ได้รับอานิสงส์บวกจาก ได้รับการคัดเลือกหลักทรัพย์ที่ใช้สําหรับดัชนีคำนวณใน SET 100 และ SETCLMV งวดครึ่งหลังของปี ช่วยดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติ จากการเป็นหุ้นที่มี ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีสภาพคล่องการซื้อขายสูง โดยบริษัทยังคงสามารถจัดชื่อวัตถุดิบเพื่อผลิตยางมะตอยและอุปทานยางมะตอยจากโรงกลั่นอื่นๆ ได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์ยางมะตอยทั้งในและ ต่างประเทศ รวมถึงได้รับคัดเลือกให้กลับมาอยู่ในดัชนี SETHD สะท้อนถึงการที่บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลสูงให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันมี Div. yield อยู่ที่ 6.83%
  • ประกอบกับยังได้ Sentiment เชิงบวกจากการจัดตั้งรัฐบาลที่อาจเร็วกว่า คาดทําให้การอนุมัติงบประมาณรายจ่ายภาครัฐปี 67 อยู่ในกรอบ timeline และหากจัดสรรงปม.ได้ทัน จะช่วยหนุนความต้องการใช้ยางมะตอยยังคงมีอยู่ในช่วง 2H66 ด้านแนวโน้ม 2Q66 เป็นช่วง high season ของธุรกิจ โดยราคาขายยางมะตอย ปรับตัวขึ้น รวมถึงหลังจีนเปิดประเทศช่วยหนุนผลการดำเนินงาน ส่วนเป้าทั้งปี ประเมินยอดขายยางมะตอยเติบโตแตะ 1.3 ล้านตัน และยังเดินหน้าซื้อเรือบรรทุกยางมะตอยใหม่เพิ่มจำนวน 4 ลำตามแผน โดยไตรมาสแรกซื้อไปแล้วจำนวน 1 ลำ และยังสามารถซื้อน้ำมันดิบ (Feedstock) ได้อีก 1 cargo ส่งผลให้โรงกลั่นยางมะตอยสามารถเดินเครื่องกำลังการผลิตไปได้ถึงเดือนส.ค.66 รวมถึงเชื่อว่าจะสามารถซื้อยางมะตอยจากโรงกลั่นอื่นๆ ไม่น้อยกว่าปีก่อน
- Advertisement -