YLG เผยคนเจนใหม่อายุต่ำกว่า 30 ปีสนใจเทรดทองผ่านแอปฯ สูงถึง 25 % หลังเปิดตัว Get Gold แอปฯ เทรดทองเริ่มต้น 100 บาท ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แห่งโลกดิจิทัล
YLG เผยคนเจนใหม่อายุต่ำกว่า 30 ปีสนใจเทรดทองผ่านแอปฯสูงถึง 25 % หลังเปิดตัว Get Gold แอปฯ เทรดทองเริ่มต้น 100 บาท ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แห่งโลกดิจิทัล ลงทุนง่าย สะดวกสบาย ทำกำไรได้ทันใจ
วายแอลจี เผยข้อมูลคนรุ่นใหม่หันเปิดพอร์ตเทรดทองคำเพิ่มขึ้น พบนักลงทุนอายุ 30-40 ปี มีสัดส่วนเปิดพอร์ตในแอปฯ Get Gold แอปเทรดทองสำหรับรายย่อยสูงถึง30 % อายุต่ำกว่า 30 ปี เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจมีถึง 25 % เชื่อมาจากการเข้าถึงการลงทุนทองคำง่ายขึ้นด้วยแอปฯที่เข้าใจง่าย ปลอดภัย ซื้อขายได้ทุกเวลา ใช้เงินลงทุนต่ำเพียง 100 บาท ส่วนทิศทางราคาทองคำช่วงนี้แม้เป็นช่วงปรับฐานเพราะได้รับแรงกดดันจากนโยบายดอกเบี้ยขาขึ้นของเฟดอย่างต่อเนื่องแม้นักลงทุนส่วนหนึ่งไม่เชื่อว่าทำได้จริงแต่ก็ส่งผลกระทบทองคำระยะสั้น แต่มองเป็นโอกาสซื้อสะสม มองแนวรับสำคัญ 1,893 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวรับที่สอง 1,857 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนแนวต้านมองที่ 1,948 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 1,984 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ด้านราคาทองในประเทศคาดเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 30,800-31,400 บาทต่อบาททองคำ และกรอบแนวต้าน 32,400-33,000 บาทต่อบาททองคำ
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกราคาทองคำเคลื่อนไหวได้ค่อนข้างน่าสนใจมีช่วงที่ราคาทองคำขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 2,079 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากนั้นราคาแกว่งตัวสลับขึ้นลง อย่างไรก็ดีการแกว่งตัวของราคาทองคำนี้ถือเป็นโอกาสให้นักลงทุนเข้ามาทำกำไรจากส่วนต่างการเคลื่อนไหวราคาในระหว่างวัน ทั้งนี้วายแอลจี ได้รวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของนักลงทุนในปีนี้ พบว่า นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในทองคำเริ่มมีอายุน้อยลง จากก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มอายุเฉลี่ย 40 ปีขึ้นไป แต่ในปีนี้พบว่ามีนักลงทุนที่อายุช่วง 30 – 40 ปี และต่ำกว่า 30 ปีเข้ามาลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนผ่านแอปพลิเกชัน โดยวายแอลจีได้เก็บข้อมูลจากยอดการสมัคร แอปพลิเคชัน Get Gold แพลตฟอร์ม ซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ลงทุนเริ่มต้นเพียง 100 บาท สามารถซื้อขายได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งในแต่ละวัน พบว่าเป็นกลุ่มคนอายุต่ำระหว่าง 30-40 ปี 30 % และกลุ่มอายุต่ำกว่า 25 % ซึ่งแตกต่างจากช่องทางอื่นที่ส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนรุ่นใหญ่
สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมองว่ามาจากช่องทางการเข้าถึงการลงทุนทองคำในปัจจุบันเข้าถึงได้ง่ายขึ้นผ่านแอปพลิเกชัน และใช้เงินลงทุนต่ำ อีกทั้งยังใช้งานง่าย ไม่ต้องกังวลด้านความปลอดภัยในการเก็บรักษา เพราะสามารถส่งคำสั่งซื้อ-ขายได้แบบเรียลไทม์ ไม่แตกต่างจากการลงทุนในหุ้น หรือสินทรัพย์อื่นๆ ส่วนการขายสามารถรับเป็นเงินสดตามราคาขายจริง หรือหากสะสมจนสามารถแลกทองคำก็สามารถทำได้ โดยสามารถมารับด้วยตัวเองที่ วายแอลจี สำนักงานใหญ่ หรือ รับทางไปรษณีย์
ทั้งนี้แม้ว่าในปัจจุบันราคาทองคำจะอยู่ในช่วงปรับฐาน เพราะได้รับแรงกดดันจากนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ยังคงประกาศว่าจะดำเนินนโยบายดอกเบี้ยขาขึ้นต่อไป อย่างไรก็ดีถึงแม้จะมีนักลงทุนจำนวนมากไม่เชื่อว่าจะสามารถดำเนินนโยบายดอกเบี้ยขาขึ้นได้อย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ เพราะเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงถดถอย แต่นโยบายดังกล่าวก็ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในระยะสั้น อย่างไรก็ตามวายแอลจีมองว่า การปรับตัวลดลงของราคาทองคำในช่วงนี้นักลงทุนสามารถใช้เป็นจังหวะสะสมทองคำได้ โดยแนะนำหาจังหวะซื้อที่แนวรับแรก ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญสำคัญ 1,893 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวรับที่สอง 1,857 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนแนวต้านมองที่ 1,948 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 1,984 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สำหรับราคาทองคำในประเทศมองเคลื่อนไหวในกรอบ แนวรับด้านล่าง 30,800-31,400 บาทต่อบาททองคำ และแนวต้านด้านบน 32,400-33,000 บาทต่อบาททองคำ (คำนวณด้วยค่าเงินบาท 35.05 บาทต่อดอลลลาร์ ณ วันที่ 6 ก.ค.2566 เวลา 16.45 น.)
“แม้ว่าราคาทองคำในช่วงนี้จะปรับตัวลดลง แต่วายแอลจียังคงแนะนำตามคำแนะนำของสภาทองคำโลกว่านักลงทุนควรมีทองคำไว้ในพอร์ตการลงทุนที่ 5-10% ของพอร์ตลงทุนรวม เพื่อลดความผันผวนของพอร์ต เนื่องจากในปีที่ผ่านมาทองคำได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแม้จะเป็นปีที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นแต่ทองคำก็ไม่ได้ปรับตัวลดลงหนัก” นางพวรรณ์ กล่าว