Daily Focus: Earnings and Domestic Play 

2023SET Target: 1620  

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่ง Sideways ตามคาด โดยฟื้นตัวได้เล็กน้อย ปิดบวก 6.38 จุด อยู่ที่ 1,496.89 จุด หนุนโดยหุ้นขนาดใหญ่ทั้ง DELTA BDMS รวมถึงกลุ่มน้ำมันและธนาคาร อย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อขายยังค่อนข้างเบาบางเพียง 3.4 หมื่นลบ. สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 1.3 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิบางๆ 193 ลบ. (และ Long Index Futures อีก 5.5 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index ยังคงแกว่งตัว Sideways to Sideways Up บริเวณ 1,500-1,510 จุด โดยปัจจัยสำคัญที่ตลาดจับตาสัปดาห์นี้คือการโหวตเลือกนายกฯ วันที่ 13 ก.ค. และเงินเฟ้อสหรัฐฯเดือน มิ.ย. คืนพรุ่งนี้ ตลาดคาด Core CPI +0.3% m-m, +5% y-y เมื่อคืนที่ผ่านมาประธาน FED หลายท่านยังคงกล่าวว่าอัตราดอกเบี้ยยังจำเป็นต้องขยับขึ้นอีกในครึ่งปีหลังเพื่อดึงเงินเฟ้อลงมาที่ 2% อย่างไรก็ตาม Bond Yield สหรัฐฯทั้งอายุ 2 และ 10 ปี เริ่มขยับลง สะท้อนว่าตลาดกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวใน 2H23 และอาจ เห็นการติดลบอ่อนๆ ใน 4Q23 ทำให้เม็ดเงินเข้าถือครองพันธบัตรมากขึ้น โดยปัจจัยหลักที่ต้องติดตามคือตัวเลขเงินเฟ้อว่าจะขยับลงได้เร็วมากน้อยเพียงใด สําหรับการเมืองในประเทศหากการโหวตนายกฯ สามารถลุล่วงได้ เรามองว่าจะเป็น Sentiment บวกต่อตลาดระยะสั้น จากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ถูกปลดล็อค คาดช่วยหนุนหุ้นในกลุ่ม Domestic Play โดยเฉพาะการบริโภค ขณะที่การคาดการณ์และประกาศกำไร 2Q23 จะเป็นอีกปัจจัยกำหนดทิศทางดัชนีใน 1-2 เดือนนี้

กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่คาดกำไร 2Q23 แข็งแกร่ง//ส่วนที่สะสมแล้วยังถือลงทุนต่อเนื่อง

หุ้นเด่นเดือน ก.ค. : CPALL, CPN, MINT, NSL, TOA

หุ้นเด่นวันนี้ : BBL

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายเบื้องต้น 197 บาท
  • เราประเมินกำไรสุทธิ 2Q23 ราว 1 หมื่นลบ. ทรงตัว q-q และ +44% y-y หนุนจาก NIM ที่คาดปรับตัวสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง.ที่ปรับขึ้นตั้งแต่ 2H23 จาก 0.5% สู่ระดับ 2% ณ ปัจจุบัน
  • ด้านคุณภาพสินทรัพย์คาดว่ายังแข็งแรงจากสัดส่วนฐานลูกค้า Corporate ที่สูง เราประเมินกำไรสุทธิปี 2023 ที่ 3.8 หมื่นลบ. +29% y-y และ Valuation ยังถูก โดยปัจจุบันเทรด PBV เพียง 0.5 เท่า
  • แนวรับ 155//150 บาท แนวต้าน 159-160//165 บาท

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนยังคงไหลออกจากภูมิภาคอีก US$812 ล้าน นำโดยไต้หวัน US$608 ล้าน ตามด้วยเกาหลีใต้ US$191 ล้าน ส่วนอาเซียนส่วนใหญ่ไหลออกบางๆ เช่นกัน มีเพียงอินโดนีเซียที่ไหลเข้าเล็กน้อย แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะชะลอการไหลออก โดยรอจับตาตัวเลขเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯเดือน มิ.ย. คืนพรุ่งนี้

ประเด็นสําคัญวันนี้

(+) เปิดสมมติฐานค่าไฟฟ้างวด ก.ย. – ธ.ค. กกพ.ตั้งค่าไฟฟ้างวด ก.ย. 1 ธ.ค. ถูกสุดที่ 4.45 แพงสุดที่ 6.28 บาท/หน่วย แบ่งเป็น 3 กรณี คือ 1) จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างทั้งหมด จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มเป็น 6.28 บาท/หน่วย 2) ตรึงค่า Ft เท่ากับงวด พ.ค.- ส.ค. ค่าไฟฟ้าจะคงเดิมที่ 4.70 บาท/หน่วย และ 3) จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างใน 5 งวด ค่าไฟฟ้าจะปรับลดลงเป็น 4.45 บาท/หน่วย หากไม่นำภาระต้นทุนคงค้างมาคำนวน ค่า Ft จะมีแนวโน้มปรับลงตามราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับลดลงในรอบ พ.ค.” ส.ค. ขณะนี้อยู่ในช่วงรับฟังความเห็น 7-21 ก.ค. นี้ก่อนเคาะจริงปลายเดือนนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้มากที่จะปรับใช้กรณีที่ 3 เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ไฟ หรือค่าไฟฟ้าจะปรับลงราว 25 สตางค์/หน่วย เนื่องด้วยการปรับลดลงของราคาก๊าซในตลาดจร และก๊าซในอ่าวไทยที่มีราคาถูกสุด มีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น จะยิ่งทำให้ราคาก๊าซฯ รวม (gas pool) ปรับลดลงมากกว่าค่าไฟฟ้าที่ปรับลง ดังนั้นเราคาดว่าผู้ผลิตไฟฟ้า SPP จะยังได้ Margin ที่ดีต่อเนื่องจาก 2Q23 อย่าง GPSC BGRIM และ WHAUP

(+) TKN คาดกำไร 2Q23 ยังฟื้นต่อเนื่อง +6% q-q, +148% y-y อยู่ที่ 175 ลบ. น่าจะทำจุดสูงสุดในรอบ 26 ไตรมาส จากการฟื้นตัวของรายได้ส่งออกและรายได้ในประเทศขยับขึ้นได้ตามฤดูกาล แม้นักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์จีนยังไม่กลับมาดี ส่วนภาพรวมต้นทุนยังทรงตัวได้ คาด gross margin 2Q23 ยังขยับขึ้นได้ คาดรายได้รวม 1H23 +31% y-y สูงกว่าเป้าหมายของผู้บริหารที่ 10%-15% โดยบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมปรับเป้าทั้งปีขึ้น คาดกำไรสุทธิ 1H23 อยู่ที่ 341 ลบ. +154% y-y เบื้องต้นคาดกำไรทั้งปี 2023 อาจทำได้ 700 ลบ. +60% y-y (EPS 0.51 บาท) อิง PE 25x จะได้ราคาเป้าหมายที่ 12 บาท แนะนำ “เก็งกำไร”

(0) TU คาดกำไร 2Q23 อยู่ที่ 1 พันลบ. -1.5% q-q, -33% y-y จากลูกค้าสหรัฐยังคง destocking ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และ Red lobster จะขาดทุนเพราะช่วง low season ขณะที่ต้นทุนปลาทูน่าปรับตัวสูงขึ้นจาก El Nino effect ทำให้คาดว่า gross margin จะลดลงเป็น 16% ใน 2Q23 จาก 16.9% ใน 1Q23 หากกำไรเป็นไปตามคาด 1H23 จะมีกำไรสุทธิ 2 พัน ลบ. -40% y-y ต่ำกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2023- 24 ลงเหลือ 4.1 พันลบ. -43% y-y และ 5.2 พันลบ. +28% y-y ตามลำดับ ปรับลดราคาเป้าหมายลงเหลือ 18 บาท แต่ยังแนะนำ “ซื้อ”

(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 209.52 จุด หรือ +0.62% ปิดที่ 33,944.40 จุด ตลาดได้รับแรงหนุนจากการที่เจ้าหน้าที่เฟดออกมาส่งสัญญาณใกล้ยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก โดยหุ้นกลุ่มเดินทางและนันทนาการนำตลาดปรับตัวขึ้น และช่วยลดผลกระทบจากข้อมูลเงินเฟ้อที่อ่อนแอของจีน

(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวก ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ

(+) ค่าเงินบาท แข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 34.94 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 87 เซนต์ หรือ 1.18% ปิดที่ 72.99 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากราคาพุ่งขึ้น 4.6% ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะเดียวกันตลาดได้รับผลกระทบจากความกังวลว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะฉุดอุปสงค์น้ำมันให้อ่อนแอลง ในขณะที่เช้านี้รีบาวน์ที่ระดับ 73.29 ดอลลาร์/บาร์เรล 0.41%

(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 1.5 ดอลลาร์ หรือ 0.08% ปิดที่ 1,931 ดอลลาร์/ออนซ์ นักลงทุนจับตาดัชนีราคา CPI/PPI เดือนมิ.ย.นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟด ในขณะที่เช้านี้รีบาวน์ที่ระดับ 1,931.90 ดอลลาร์/ออนซ์ 0.05%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 915.26 / –

- Advertisement -