Daily Focus: Domestic and Earnings Play

2023SET Target : 1620

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องตามคาด ปิดบวกอีก 10.85 จุด ณ สิ้นวัน ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นขึ้นเป็น 4.6 หมื่นลบ. นำโดยหุ้น Big Cap โดยเฉพาะ Domestic Play ที่ปรับขึ้นอย่างกระจายตัว ยกเว้นกลุ่มน้ำมันและปิโตรฯ สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องอีกฝ่ายละ 802-841 ลบ. (ต่างชาติ Long Index Futures อีก 5.4 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index แกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,520-1,540 จุด หลังจากปรับตัวขึ้นแข็งแรง 2 วันที่ผ่านมา รับโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มติจากการประชุม 8 พรรคร่วมจะยังเสนอชื่อนายพิธา ในการลงมติเลือกนายกฯรอบที่ 2 ในวันที่ 19 ก.ค. เช่นเดิม และมีการทาบทามพรรคชาติไทยพัฒนาและประชาธิปัตย์ให้ลงคะแนนให้ ซึ่งหากตอบรับจะได้เสียงเพิ่มอีก 35 เสียง รวมกับคะแนนเสียงเดิม 324 เสียงเป็น 359 เสียง โดยยังต้องการเสียงสนับสนุนจากสว.เพิ่มอีก 16 เสียง ให้ครบ 375 เสียง ซึ่งเรามองว่ายังค่อนข้างยาก เช่นเดียวกับการแก้ไขกฎหมายมาตร 272 อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์การเมืองจะมีแนวโน้มยืดเยื้อ และกินเวลานานมากขึ้น แต่หากมองข้ามสถานการณ์ปัจจุบัน และท้ายที่สุดสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยเป็นฝ่ายเพื่อไทยขึ้นนำแทน เรามองว่าตลาดจะตอบรับเชิงบวกต่อเนื่อง ต่อนโยบายที่เอื้อต่อตลาดทุนมากขึ้น  รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในระยะสั้นอย่างเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทต่อหัว ซึ่งเป็นบวกต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักลงทุน เราคาดกลุ่ม Domestic Play มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ขณะที่ Global Play เช่นกลุ่มลังงานอาจพักตัวระยะสั้น หลังราคาน้ำมันดิบที่ชะลอ

กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่คาดกำไร 2Q23 แข็งแกร่ง//ส่วนที่สะสมแล้วยังถือลงทุนต่อเนื่อง

หุ้นเด่นเดือน ก.ค. : CPALL, CPN, MINT, NSL, TOA

หุ้นเด่นวันนี้ : BBL

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 197 บาท เราประเมินกำไรสุทธิ 2Q23 ที่ 1 หมื่นลบ. -1% q-q และ +44% y-y หนุนจาก NIM ที่คาดปรับตัวสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง.ที่ปรับขึ้นตั้งแต่ 2H23 จาก 0.5% สู่ระดับ 2% ณ ปัจจุบัน และ BBL เป็นธนาคารที่ได้ประโยชน์สูงสุด
  • ด้านคุณภาพสินทรัพย์คาดว่ายังแข็งแรงจากสัดส่วนฐานลูกค้า Corporate ที่สูง เราประเมินกำไรสุทธิปี 2023 ที่ 3.8 หมื่นลบ. +29% y-y และ Valuation ยังถูกโดยปัจจุบันเทรด PBV เพียง 0.6 เท่า เป็นหนึ่งใน Top Pick กลุ่มธนาคาร
  • แนวรับ 155//150 บาท แนวต้าน 165-166.50 บาท

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค แต่บางลงเหลือ US$176 ล้าน เม็ดเงินไหลเข้าไต้หวัน US$132 ล้าน แต่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$86 ล้าน ส่วนอาเซียนไหลเข้าทุกประเทศ นำโดยอินโดนีเซีย US$80 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่าจะทรงตัว โดยแรงกดดันคือเศรษฐกิจจีนที่โตช้ากว่าคาด ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯตลาดมองโอกาสเกิด Recession ลดลง

ประเด็นสำคัญวันนี้

(-) GDP 2Q23 จีนต่ำกว่าคาด เติบโตเพียง +0.8% q-q, +6.3% y-y ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ +7.3% y-y สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อ่อนกว่าคาด ขณะที่ตลาดทยอยปรับลด GDP ทั้งปี 2023 ลงเหลือ +5% y-y เท่ากับเป้าหมายของทางการจีน และคาดหวังว่าจะเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติมในช่วงถัดจากนี้

(+) กลุ่มธนาคาร เราคาดกำไรสุทธิรวม (7 ธนาคาร) ปี 2023 เติบโต +16% y-y และ +8% y-y ในปี 2024 จากผลบวกของการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา และคาดจะปรับขึ้นอีกในช่วง 4Q23 เป็น 2.25% จากปัจจุบันที่ 2% ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อเนื่องไปจนถึง 1H24 โดย BBL KBANK และ SCB จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นมากสุด ส่วน 2Q23 คาดมีกำไรสุทธิรวม 50.2 พันลบ. +16% y-y และทรงตัว q-q ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนระยะสั้น ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์เชื่อว่าธนาคารสามารถบริหาร NPLs ได้ อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นของกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่เทรดต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี อีกทั้งยังต่ำกว่าภูมิภาคด้วย ดังนั้นจึงมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะถูก re-rating เราให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มธนาคารเป็น Neutral Top picks คือ BBL และ TTB

(+) TTB เป็นหนึ่งในหุ้น Top Buy ในกลุ่มธนาคาร เนื่องจาก TTB ใช้กลยุทธ์การบริหารงบดุลได้เป็นอย่างดี และคาดกำไรจะเติบโตเฉลี่ย 10.8% CAGR ในช่วง 2023-25 จากรายได้ดอกเบี้ยรับและรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีโอกาสที่ ROE จะขึ้นแตะ 10% ใน 3-5 ปี ข้างหน้า เราคาดกำไรสุทธิ 2Q23 ที่ 4.35 พันลบ. +1% q-q, +27% y-y แข็งแกร่งต่อเนื่อง จากทั้งสินเชื่อที่ขยายตัว การบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควบคุมคุณภาพของสินทรัพย์ได้ดี คาดจะสามารถรักษา NPLs ให้อยู่ที่ระดับ 2.7% ได้ ราคาหุ้นปัจจุบันให้ Div. Yield 5-6% ต่อปี ราคาเป้าหมาย 1.83 บาท แนะนำ “ซื้อ”

(0) SHR คาด 2Q23 จะพลิกขาดทุนปกติ 93 ลบ. เทียบกับกำไรปกติ 142 ลบ. ใน 1Q23 เนื่องจากเป็นช่วง low season ในไทยและ Maldives คาด RevPar 2Q23 รวมปรับลง 10% q- q จากธุรกิจโรงแรมในไทยและ Maldives ขณะที่ UK ปรับขึ้นและสูงเกินกว่าระดับ pre-Covide 35-40% จากผลของการปรับขึ้นของราคาห้องพัก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า 3Q23 จะเริ่มฟื้นตัวจากโมเมนต้มของกำไรของธุรกิจโรงแรมใน UK ที่แข็งแรงต่อเนื่อง โรงแรมใน Mauritius กลับมาเปิดดำเนินการ ก.ย. นี้ และ 4Q23 จะฟื้นตัวแรงจาก high season ของการท่องเที่ยว เราปรับประมาณการกำไรปี 2023 ลง 58% จากผลการดำเนินงาน 2Q23 ที่อ่อนแอ และปรับกำไรปี 2023-25 ลดลง 18-25% เพื่อสะท้อนผลกระทบจากการปรับปรุงโรงแรมและภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น ราคาหุ้นที่ปรับลงกว่า 29% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา price in ไปหมดแล้ว จนราคาหุ้นปัจจุบันเทรดเพียง 0.6 เท่า P/BV ปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 4.8 บาท (เดิม 5.2) แนะนำ “ซื้อ”

(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 76.32 จุด หรือ +0.22% ปิดที่ 34,585.35 จุด ภาวะการซื้อขายในตลาดค่อนข้างซบเซา เนื่องจากตลาดขาดปัจจัยชี้นำจากการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในวันที่ 25-26 ก.ค.

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ โดยหุ้นริชมอนด์ซึ่งเป็นบริษัทสินค้าหรูหรารายใหญ่นำตลาดปรับลง หลังเปิดเผยยอดขายที่อ่อนแอเกินคาด

(0) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดผสม ขณะที่นักลงทุนรอรายงานการประชุมในเดือน ก.ค. ของธนาคารกลางออสเตรเลียเช้านี้

(+) ค่าเงินบาท แข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 34.43 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 1.27 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 74.15 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีรายงานว่าเศรษฐกิจจีนขยายตัวต่ำกว่าคาดในไตรมาส 2/2566 นักลงทุนวิกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอุปสงค์นํ้ามันในประเทศจีน  ในขณะที่เช้านี้รีบาวน์ที่ระดับ 74.31 ดอลลาร์/บาร์เรล +0.22%

(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 8 ดอลลาร์ หรือ 0.41% ปิดที่ 1,956.40 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไร หลังจากสัญญาลงคำพุ่งขึ้นแข็งแกร่งในสัปดาห์ที่แล้ว ในขณะที่เช้านี้รีบาวน์ที่ระดับ 1,959.30 ดอลลาร์/ ออนซ์ +0.15%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 912.93 / -1.73

- Advertisement -