บล.บัวหลวง:
Thai Market Strategy ถึงช่วงฤดูปันผลระหว่างกาล-เจาะลึกหาโอกาสทอง
ในช่วง 4 สัปดาห์ข้างหน้า บริษัทใน SET จะประกาศผลประกอบการ ไตรมาส 2/66 และหลายบริษัทจะประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สําหรับผลการดำเนินงานในครึ่งแรกของปี 2556 ในตารางด้านขวามือแสดง 25 บริษัทที่เราคาดจะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลมากที่สุด โดยคาดจาก 1) เงินปันผลระหว่างกาลที่เราคาดจะจ่ายสําหรับผลการดำเนินงานในครึ่งแรกของปี 2566 และ 2) คาดการจ่ายเงินปันผลทั้งปี 2566 โดยรายละเอียดสําหรับคาดการณ์เงินปันผลครึ่งแรกของปี 2566 และเต็มปี 2566 สามารถดูได้ในรูปที่ 1 และ 2
ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่กว้างเล็กน้อยที่ 1.1% (เทียบกับยีลด์พันธบัตรรัฐบาลไทย 3 ปีที่ 2.56%)
ถึงแม้ว่ายีลด์พันธบัตรรัฐบาลไทย 3 ปีจะปรับตัวขึ้นแรงตั้งแต่ต้นปี แต่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ SET (คาดที่ 3.6% ในปี 2566) และยีลด์พันธบัตรรัฐบาลไทย 3 ปี (ปัจจุบันที่ 2.56%) อยู่ที่เพียง 1.1% ซึ่งสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 1.2% อิงจากอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่เพิ่มในอัตราที่ชะลอลง และความ hawkish ของเฟดที่น่าจะกำลังพีคแล้ว เราจึงคาดบอนด์ยีลด์สหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลไทย 3 ปีน่าจะเริ่มคลี่คลายในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 หนุนส่วนต่างอัตราผลตอบแทนเงินปันผลให้กว้างขึ้น และเปิดโอกาสในการซื้อสําหรับธีมอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล
ลิสต์สําหรับธีมนี้
ในหุ้นที่เราให้คําแนะนำ มีเพียง 15 บริษัทที่มีแนวโน้มจะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลระหว่างกาลที่มากกว่า 2% และจาก 15 บริษัท มีเพียง 9 บริษัท ที่จะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงกว่า 2.5% (ดูในตารางด้านขวาบน) กลุ่มไอซีที พลังงานและโรงไฟฟ้า และธนาคารจะเป็นกลุ่มที่น่าสนใจที่สุด สําหรับธีมเงินปันผลระหว่างกาล
55% ของบริษัทที่เราให้คําแนะนําอาจจะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล
ราว 55% ของบริษัทที่เราให้คําแนะนําอาจจะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล (ลดลงจาก 63% ในครึ่งแรกของปี 2565 แต่ขึ้นจาก 42% สําหรับครึ่งแรกของปี 2564) เราคาดอัตราจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยที่ 42% ของกำไรสุทธิครึ่งแรกของปี 2566 โดยเงินปันผลรวมครึ่งแรกของปี 2566 น่าจะลดลง 20% YoY (บางบริษัทจ่ายเงินปันผลครึ่งแรกของปี 2565 จํานวนมาก จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูง) เทียบกับคาดว่ากำไรครึ่งแรกของปี 2566 ลดลง 17% YoY
ปรับลดประมาณการกำไรอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. จนถึงปัจจุบัน
ตลาดปรับลดประมาณการกำาไรปี 2566 ของ SET ลง 14% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน หลังจากผลประกอบการที่น่าผิดหวังในไตรมาส 4/65-1/66 โดยตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. จนถึงปัจจุบัน ยังคงเห็นการปรับลดประมาณการอย่างต่อเนื่อง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกปรับตัวลงและความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อบางกลุ่ม โดยหลักจากกลุ่มบรรจุภัณฑ์ (อุปสงค์ที่อ่อนแอในจีน) กลุ่มสื่อ (เม็ดเงินโฆษณาที่อ่อนแอสำหรับ ผู้ประกอบการทีวีบางราย ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ) กลุ่มเคมีภัณฑ์ (ส่วนต่าง ปิโตรเคมีที่ลดลง) และกลุ่มอาหาร (ราคาเนื้อสัตว์และอัตรากำไรที่ลดลงเนื่องจากต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น) ในทางตรงกันข้าม กลุ่มการแพทย์ (กมีมุมมองเชิงบวกต่ออุปสงค์ในช่วงฤดูฝน) และกลุ่มธนาคาร (NIM ที่ขยายตัวขึ้น) ถูกปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้น เราคงประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้นในปี 2566 ที่ 95 ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 93.9 เล็กน้อย