บล.ฟิลลิป:

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร – KKP การตั้งสำรองยังสูงใน 2H66

Key Point

ผลประกอบการ 2Q66 ต่ำกว่าที่คาดมาก เนื่องจากการผลขาดทุนจากทรัพย์สินรอขาย และการตั้งสำรองสูงกว่าที่คาดมาก ซึ่งจะยังคงสูงต่อเนื่องไปอีกใน 2H66 และ KKP ได้มีการปรับเป้าการปล่อยสินเชื่อในปีนี้ลง โดยจะเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และพยายามปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ให้ดีขึ้น ทางฝ่ายได้มีการปรับลดประมาณการกำไร และปรับลดราคาพื้นฐานลงมาเหลือ 63 บาท ยังคงมีส่วนต่างอยู่พอสมควร ประกอบกับปันผลยังน่าสนใจ จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ”

NPL ปรับเพิ่มขึ้นจากสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อบรรษัท

ใน 2Q66 KKP มี NPL เพิ่มขึ้นเป็น 3.6% จากไตรมาสก่อนที่มี NPL อยู่ 3.3% จากการตั้งสำรองเชิงคุณภาพของลูกค้าบรรษัทรายหนึ่งที่ประกอบธุรกิจอยู่ในพม่า ซึ่งยังมีสถานะทางการเงินเป็นปกติ แต่จากการที่พม่าโดนคว่ำบาตร ทำให้ไม่สามารถส่งเงินออกนอกประเทศได้ และมาจากสินเชื่อเช่าซื้อ โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถมือสอง ซึ่งลูกค้าได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจค่อนข้างมาก และมีความเป็นไปได้ที่ NPL จะยังสูงได้อีกในช่วงที่เหลือของปี และอาจจะลดลงได้ในช่วงต้นปีหน้า แต่อย่างไรก็ตาม ทาง KKP จะพยายามให้ระดับ NPL ในปีนี้ไม่ให้เกิน 3.5% ซึ่งเป็นเป้าที่ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ตั้งเป้าจะให้ระดับ NPL ไม่เกิน 3.1%

การตั้งสำรองจะยังคงสูงต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี

ทาง KKP ได้มีมาตรการหลายอย่างเพื่อปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ โดยเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 65 และทำให้ KKP ปรับเป้าการปล่อยสินเชื่อลงมาเหลือ 10% จากเป้าเดิมที่ตั้งไว้ที่ 13% โดย 1H66 KKP สามารถปล่อยสินเชื่อได้แล้ว 5.8% ดูแลและปรับโครงสร้างหนี้ในลูกค้าที่เป็นสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ และมีการตั้งทีมเฉพาะกิจมาจัดการปัญหาขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ แต่ NPL ที่จะยังสูง และผลขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ที่จะยังมีต่อ ทำให้การตั้งสำรองจะยังคงสูงอยู่ใน 2H66 แต่น่าจะลดลงได้จาก 2Q66 เนื่องจาก KKP มองว่าการตั้งสำรองได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วใน 2Q66

ปรับลดประมาณการกำไรเพื่อสะท้อนการตั้งสำรองสูงใน 2Q66

ทางฝ่ายได้มีการปรับลดประมาณการกำไรปี 66 ของ KKP ลงเหลือ 6.6 พันลบ. ลดลงจากที่เคยคาดไว้ที่ 8.8 พันลบ. เนื่องจากการตั้งสำรองที่สูงกว่าที่คาดไว้เดิม โดยกำไรที่ปรับใหม่ลดลงจากปีก่อน 13.4% y-y และปรับลดประมาณการเงินปันผลลงมาเหลือ 2.85 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. yield 5.2% และคาดว่าจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาล 1 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. yield 1.8% และได้มีการปรับลดราคาพื้นฐานลงเหลือ 63 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบันยังคงมีส่วนต่างอยู่พอสมควร ประกอบกับมีปันผลที่ยังน่าสนใจ จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ”

- Advertisement -