บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):

Central Plaza Hotel (CENTEL.BK/CENTEL TB)*

ประมาณการกำไร 2Q66F : คาดเติบโต YoY แต่ลดลง QoQ

Event

ประมาณการกำไร 2Q66F

Impact

คาดกำไรฟื้นตัวแรง YoY

เราคาดว่า CENTEL จะรายงานกำไรสุทธิใน 2Q66F อยู่ที่ 151 ล้านบาท (+585% YoY แต่ -76% QoQ) ปัจจัยหนุนหลักที่มาจากธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยฟื้นตัวดีขึ้น ทางด้านรายได้คาดเพิ่มขึ้น 23% YoY อยู่ที่ 5.15 พันล้านบาท ได้แรงหนุนจากธุรกิจโรงแรมมีอัตราการเติบโตของรายได้สูงอยู่ที่ 52% ขณะที่คาดรายได้ลดลง 7% QoQ เพราะเป็นช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยวของไทยและที่มัลดีฟส์ ทั้งนี้ เราคาดอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ลดลงเล็กน้อย YoY อยู่ที่ 39.5% เนื่องจากธุรกิจร้านอาหารมี GPM ต่ำลง สะท้อนผลกระทบด้านลบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำใน 4Q65 ทั้งนี้ กำไรสุทธิของ CENTEL ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ากำไรช่วงก่อนโรคโควิดระบาดที่ 232 ล้านบาทใน 2Q62 หลักๆ เป็นเพราะ occupancy rate ของโรงแรมที่มัลดีฟส์อ่อนแอ และการที่มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้น

ธุรกิจโรงแรม : คาดรายได้ต่อห้อง (RevPar) เพิ่มขึ้น 44% YoY แต่ลดลง 31% QoQ

เราคาด RevPar (บาท) อยู่ที่ 2,792 บาท (+44% YoY แต่ -31% QoQ) โดยที่คาดว่า occupancy rate จะ เพิ่มขึ้น 19ppts YoY อยู่ที่ 65% หนุนจากการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย (occupancy rate ของ โรงแรมในกรุงเทพและต่างจังหวัดอยู่ที่ 72% และ 62% ตามลำดับ) สวนทางกับโรงแรมที่มัลดีฟส์ ซึ่งน่าจะมี occupancy rate ลดลง 10ppts YoY อยู่ที่ 56% นอกจากนั้น เราคาดค่าห้องพักรวม (ARR) อยู่ที่ 4,314 บาท (+2% YoY) ด้วยโรงแรมในกรุงเทพมีอัตราการเติบโตแข็งแกร่งที่ 24%

ธุรกิจร้านอาหาร : คาด Same-store-sales เพิ่มขึ้น 5% YoY

เราคาด SSSG ใน 2Q66F อยู่ที่ 5% YoY ชะลอลงจาก 8% ใน 1Q66 สำหรับอัตราการเติบโตของสาขา ทั้งหมด (Total-system-sales growth :TSSG) คาดอยู่ที่ 10% ได้แรงหนุนจากการขยายสาขาของแบรนด์ หลักๆ (KFC Mister Donut และ Auntie Anne’s) ทั้งนี้ เรามีมุมมองแบบระมัดระวังมากขึ้นต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจร้านอาหารใน 2H66F เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศอ่อนตัว

Valuation & action

กำไรสุทธิใน 1H66F จะคิดเป็น 39% ของประมาณการกำไรเต็มปี 2566F ของเราที่ 1.99 พันล้านบาท ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำถือหุ้น CENTEL แต่ปรับลดราคาเป้าหมายปี 2566 ลงอยู่ที่ 50.00 บาท จากเดิมที่ 58.00 บาท โดยเราปรับลด EV/EBITDA ลงมาใหม่อยู่ที่ 14.6x หรือเท่ากับค่าเฉลี่ยระยะยาว +1.0SD (จากเดิมที่ 16.5% หรือเท่ากับค่าเฉลี่ยระยะยาว +2.0SD) เนื่องจาก i) การฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยเริ่มกลับเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้น ii) ธุรกิจโรงแรมที่มัลดีฟส์ชะลอตัว iii) การบริโภคภายในประเทศอ่อนตัว และ iv) ความเสี่ยงด้านต่ำจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำของภาครัฐ

Risks ความไม่สงบทางการเมือง การบริโภคภายในประเทศชะลอตัว และความเสี่ยงด้านค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น

- Advertisement -