บล.บัวหลวง:

True Corporation (TRUE TB/TRUE.BK)

TRUE – ขาดทุนมากกว่าที่เราคาด; คาดขาดทุนลดลง QoQ ในไตรมาส 3/66

ขาดทุนเยอะกว่าคาด แต่ EBITDA ดีกว่าคาดเล็กน้อย

TRUE รายงานขาดทุนสุทธิไตรมาส 2/66 ที่ 2.32 พันล้านบาท พลิกกลับ YoY จากกำไรสุทธิ 2.56 พันล้านบาทในไตรมาส 2/65 และขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้น 371% QoQ หากไม่รวมรายการพิเศษในไตรมาส 2/66 ซึ่งได้แก่ 1) การกลับรายการสํารองซึ่งเกิดขึ้นจากการระงับข้อพิพาทด้านกฎหมาย (ซึ่งอยู่ภายใต้รายการค่าใช้จ่ายเชื่อมต่อโครงข่าย) จํานวน 1.48 พันล้านบาท 2) การกลับรายการของสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีจากการยกยอดผลขาดทุน ของ DTN (ซึ่งอยู่ภายใต้รายการภาระภาษีจ่าย) จำนวน 1.75 พันล้านบาท และ 3) กําไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจํานวน 545 ล้านบาท ในไตรมาสนี้รายงานเป็นขาดทุนหลักจํานวน 2.59 พันล้านบาท เทียบกับกำไรหลัก 2.04 พันล้านบาทในไตรมาส 2/65 และขาดทุนหลักเพิ่มขึ้น 19% QoQ ขาดทุนสุทธิและขาดทุนหลักไตรมาส 2/66 ถือว่าแย่กว่าที่เราคาดก่อนหน้าคิดเป็น 552% และ 158% ตามลำดับ เนื่องจากรายได้บริการที่ต่ำกว่าคาดและค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจําหน่าย (D&A) ที่สูงกว่าคาด รายได้บริการต่ำกว่าคาด 2.5% ในขณะที่ค่าใช้จ่าย D&A สูงกว่าคาด 10% จากการขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ผลประกอบการบรรทัดสุดท้ายออกมาแย่กว่าคาด แต่ EBITDA ถือว่าดีกว่าคาด 3% เนื่องจากค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานในส่วนที่เป็นรายการเงินสด ซึ่งลดลงเนื่องจากการบริหารจัดการด้านต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประเด็นสําคัญจากผลประกอบการ

ผลประกอบการหลักที่แย่ลง YoY เป็นผลมาจากรายได้บริการที่ปรับตัวลดลง (รายได้จากธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และรายได้จากธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิกที่ลดลง) ค่าใช้จ่าย D&A ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก (จากการขยายเครือข่าย) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับโครงข่ายที่เพิ่มขึ้น (จากต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น) และภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกลบค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง (เนื่องจากการใช้จ่ายด้านการตลาดที่มีประสิทธิภาพ มากขึ้นและภาระหนี้สูญที่ลดลง) ผลประกอบการหลักที่ลดลง QoQ เป็นผลมาจากค่าใช้จ่าย D&A ที่เพิ่มขึ้นแรง ซึ่งกลบรายได้บริการที่ปรับตัวดีขึ้น ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับโครงข่ายและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารงานทั่วไป ที่ลดลง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมทั้งหมด (ที่ไม่รวม D&A) ที่ทําการปรับปรุงใหม่ในไตรมาสนี้ลดลง 12% YoY และ 10% QoQ เนื่องจากการบริหารจัดการด้านต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เราเห็นปัจจัยบวกหนึ่ง อย่างในไตรมาสนี้ ได้แก่ การกลับมาฟื้นตัว QoQ ของรายได้บริการ โดยรายได้บริการรวมในไตรมาสนี้ลดลง 1.2% YoY (แต่ฟื้นตัว 1.1% QoQ จากธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจออนไลน์) รายได้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในไตรมาสนี้ลดลง 2% YoY (แต่เพิ่มขึ้น 0.8% QoQ จากสภาพการแข่งขันในตลาดที่ดูสมเหตุสมผลมากขึ้น รวมถึงรายได้เฉลี่ย/ราย/เดือนของธุรกิจ โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ปรับตัวดีขึ้น) โดยรายได้เฉลี่ย/ราย/เดือนของระบบโพสต์ เพดและระบบพรีเพดเพิ่มขึ้น 0.4% QoQ และ 0.5% QoQ ตามลำดับ รายได้บริการธุรกิจออนไลน์เพิ่มขึ้น 0.7% YoY (และเพิ่มขึ้น 3.2% QoQ เนื่องจากรายได้เฉลี่ย/ราย/เดือนของธุรกิจเน็ตบ้านที่เพิ่มขึ้น 2.5% QoQ)

แนวโน้ม

สําหรับเป้าหมายผลประกอบการของบริษัทสำหรับในปี 2566 บริษัทยังคงเป้าอัตราการเติบโตของรายได้บริการที่ “ทรงตัว” (ที่ไม่รวมไอซี) และงบลงทุนที่ 2.5-3 หมื่นล้านบาท แต่ปรับเพิ่ม EBITDA (ซึ่งได้รวมกำไรที่เกิดขึ้นจากการระงับข้อพิพาทด้านกฎหมายเข้าไปแล้ว) จาก “ทรงตัวถึงลดลงในระดับตัวเลขหลักเดียวต้นๆ” ไปเป็น “เติบโตในระดับตัวเลขหลักเดี่ยวต้นๆ จนถึงตัวเลขหลักเดียวกลางๆ” และเนื่องจากรายได้บริการในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ลดลง 1.6% YoY นั่นหมายถึงรายได้บริการในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จะต้องกลับมาเติบโต 1.6% YoY เพื่อให้รายได้บริการสำหรับทั้งปี 2566 ทรงตัว YoY เราคาดขาดทุนหลัก 1.5 พันล้านบาทในไตรมาส 3/66 ซึ่งลดลง 42% QoQ (เนื่องจากรายได้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ปรับตัวดีขึ้น จากอัตราเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลง การแข่งขันด้านราคาที่ทรงตัว และการบริหารจัดการด้านต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง) เราคาดว่าจะเห็นผลประโยชน์ร่วมจากการควบรวมกิจการที่มากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ในแง่ของรายได้จากการขายข้ามผลิตภัณฑ์ที่มากขึ้น และการขายที่ไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่แพงขึ้น การลดงบลงทุนอย่างต่อเนื่องผ่านการจัดซื้อรวมกัน การยกเลิกโปรโมชั่นไม่จำกัดการใช้งาน หรือการลดการให้ส่วนลด บวกกับผลประโยชน์ร่วมด้านอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป

เราปรับประมาณการขาดทุนสุทธิและขาดทุนหลักของเราเพิ่มขึ้นอีก 262% และ 162% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนรายได้บริการสำหรับทั้งปี 2566 ที่ลดลงจากเดิม เนื่องจากรายได้บริการในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด (แม้ว่าการฟื้นตัวจะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 ก็ตาม) และค่าใช้จ่าย D&A และค่าใช้จ่ายพิเศษอื่นๆ ที่ไม่ใช่รายการเงินสดที่ปรับเพิ่มขึ้น ราคาเป้าหมายที่ประเมินด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด ของเราปรับลดลงอีก 4% (เหลือ 9.4 บาท)

คําแนะนํา

เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” เนื่องจากความคาดหวังต่อขาดทุนหลักที่มีแนวโน้มลดลง และผลประโยชน์ร่วมที่เกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการที่จะมีมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2566

- Advertisement -