“ประเดช” ชี้แจง ทำไมต้องซื้อหุ้น WEH จาก “ณพ ณรงค์เดช” และพวก เพราะณพ ต้องการนำเงินไปจ่ายค่าหุ้นให้กับ “นพพร” รวมทั้งทาง SCB ไม่ยอมปล่อยกู้ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม T5 และโครงการลม วะตะแบก จะสร้างความเสียหายให้กับบริษัท ก่อนจะรู้ว่า ราคาจริง แค่ 370 บาท/หุ้น แต่ในกลุ่มซื้อมาในราคา 410 บาท แต่มีความตั้งใจ และเจตนา ต้องการช่วยให้ WEH สามารถดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมต่อไปได้
ประเดช กิตติอิสรานนท์ นักลงทุนรายใหญ่ และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท วินด์ เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) ออกมายืนยันความจริง ในการซื้อหุ้น WEH เพิ่มเติมจากนายณพ ณรงค์เดช และบริษัท โกลเด้น มิวสิค (GML) โดยระบุว่า ข้อเท็จจริง คือ เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2560 นายณพ ณรงค์เดช และนายณัฐวุฒิ เภาโบรมย์ ได้พากันมาขอให้ช่วยซื้อหุ้น WEH จากบริษัท GML ซึ่งมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใน WEH เพราะนายณพต้องการนำเงินไปจ่ายค่าซื้อหุ้น WEH จากนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ไม่เช่นนั้นธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) จะไม่ปล่อยสินเชื่อเงินกู้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม 5 โครงการ (T5) ให้แก่ WEH รวมถึงโครงการพลังงานลมวะตะแบกก็จะไม่สามารถเบิกเงินกู้จาก SCB มาใช้ในการก่อสร้าง สร้างความเสียหายให้กับ WEH
“สำหรับราคาหุ้น WEH ที่นายณพ เสนอขายหุ้นรวมเป็นเงินทั้งหมด 5,900 ล้านบาท ในราคาหุ้นละ 410 บาท โดยมีข้อตกลงให้ชำระเงินจำนวนครึ่งหนึ่งในวันโอนหุ้น ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งให้ชำระเมื่อ WEH ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ได้ ผมและนักลงทุนอีก 32 คน จึงรวมเงินกันมาซื้อหุ้นดังกล่าวและมีการจ่ายเงินตามที่ตกลงไว้ครบถ้วน ทั้งนี้การตัดสินใจซื้อหุ้นในตอนนั้นผมไม่เคยรู้มาก่อนว่านายณพซื้อหุ้นมาในราคาเท่าไหร่ แต่มารู้ภายในภายหลังว่านายณพซื้อหุ้นจากนายนพพรมาในราคาหุ้นละประมาณ 370 บาทต่อหุ้น หุ้นที่ผมซื้อมาจึงมีราคาที่สูงกว่าหุ้นที่นายณพได้ซื้อมาจากนายนพพร”
อย่างไรก็ตาม การซื้อหุ้นดังกล่าว ผมมีความตั้งใจและเจตนาเพื่อเป็นการช่วยให้ WEH ไม่ได้รับความเสียหาย สามารถดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม T5 ต่อไปได้ จนเป็นที่มาของโรงไฟฟ้าพลังงานลม T5 ในปัจจุบัน ทั้งผมได้รับคำยืนยันจาก SCB ในขณะนั้นว่าหากผมซื้อหุ้นและชำระเงินค่าซื้อหุ้นให้แก่นายณพแล้ว SCB จะปล่อยเงินกู้ให้กับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม T5 รวมถึงได้รับการยืนยันว่าหุ้นที่ผมซื้อจะไม่มีปัญหาเพราะการที่นายณพถูกนายนพพรฟ้องที่อนุญาโตตุลาการประเทศสิงคโปร์เป็นเรื่องการฟ้องให้ชำระหนี้เงินค่าหุ้นไม่ใช่ฟ้องเรียกเอาหุ้นที่ซื้อคืน
“กรณีที่ศาลสูงแห่งประเทศอังกฤษและเวลล์ (ศาลอังกฤษ) ได้มีคำพิพากษาใดก็ตามไม่มีผลผูกพันกับศาลไทยที่จะต้องปฎิบัติตามศาลอังกฤษที่มีคำพิพากษาไว้ หากจะให้มีผลผูกพันตามกฎหมายไทย ต้องยื่นฟ้องกันใหม่ในประเทศไทยเท่านั้น ในส่วนของผมไม่ได้ไปต่อสู้คดีที่ศาลอังกฤษ และน่าจะมีฝ่ายใดให้การหรือเบิกความถึงข้อเท็จจริงที่เป็นเท็จ ซึ่งพิจารณาดูตามคำพิพากษาของศาลอังกฤษแล้ว อาจเป็นการฟังความจากฝ่ายเดียว ฉะนั้นความจริงจะปรากฎเมื่อหากคู่ความฝ่ายใดในคดีที่ศาลอังกฤษได้มีการมายื่นฟ้องในศาลไทย ซึ่งหากมีการให้การเท็จ ใดๆบุคคลนั้นอาจจะมีความผิดฐานเบิกความเท็จ สำหรับผมพร้อมจะพิสูจน์ความจริงที่ศาลไทย”