บล.บัวหลวง:
KCG Corporation (KCG TB /KCG.BK)
KCG – ผู้ผลิตเนยและชีสแบรนด์อันดับ #1 ของไทย
เราเริ่มต้นให้คำแนะนำ “ซื้อ“ หุ้น KCG ที่ราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2567 ที่ 12 บาท อิงจากค่าเฉลี่ย PER ปี 2567-68 ของผู้ประกอบการอาหารและส่วนประกอบอาหารของไทย เราชอบ KCG เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ธุรกิจอาหารและบริการที่กำลังเติบโต ความสามารถในการปรับขนาดและอัตราส่วน PEG ในปี 2567 ที่ต่ำที่ 0.89 เท่า
ตำแหน่งทางการตลาดที่โดดเด่นอุตสาหกรรมเนยและชีส
บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเนย ชีส และบิสกิตชั้นนำของไทยมากว่า 60 ปี ธุรกิจหลักของบริษัทมี 3 ธุรกิจ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์นมแปรรูป (58% ของรายได้ปี 2566) ส่วนผสมอาหารและเบเกอรี่ (28%) และบิสกิต (14%) เราคาดว่า 76% ของรายได้ในปี 2566 จะมาจากแบรนด์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท ได้แก่ Allowrie, Imperial, Dairy Gold และ Sunquick และ 24% จากธุรกิจการนําเข้าสินค้ามาขายในประเทศไทย โดย KCG เป็นผู้เล่นชั้นนำของไทยในอุตสาหกรรมเนย (ส่วนแบ่งตลาด 55%) และซีส (ส่วนแบ่งตลาด 36%) เราอ้างอิงหุ้นกับผู้ประกอบการอาหารไทย โดยปัจจุบันชื้อขายที่ PER ปี 2557 ที่ 16-18 เท่า และอัตราการเติบโตของกำไรหลักปี 2567-68 เฉลี่ยที่ 17% เพื่อให้ได้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 12 บาท (คาดการณ์ KCG มีอัตราการเติบโตของกําไรหลักปี 2567-68 เฉลี่ยที่ 20% และอัตราส่วน PEG ที่ 0.89 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 0.97 เท่า)
พร้อมโตไปกับ food megatrend
Euromonitor คาดมูลค่ารวมของตลาดเนยและชีสในประเทศไทยที่ 6.95 พันล้านบาท และคาดการณ์การเติบโตต่อปีที่ 7-8% ในปี 2566-69 โดยได้แรงหนุนจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ตะวันตกในหมู่คนไทย และอุปสงค์ของนักท่องเที่ยว เราคาดว่า KCG จะรายงานรายได้เติบโตสูงสุดในปี 2566 ที่ 15% หนุนโดยผลิตภัณฑ์ใหม่และยอดขายออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น จุดแข็งอย่างหนึ่งที่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งคือ KCG Excellence Center ซึ่งช่วยให้ลูกค้าคิดค้นสูตรอาหารสุดพิเศษเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมถึงใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
อัตราการเติบโตของกําไรหลักปี 2566-68 เฉลี่ยที่ 20%
บริษัทรายงานอัตราการเติบโตของกำไรหลักปี 2562-64 เฉลี่ยที่ 12% แต่จากนั้นปรับตัวลดลง 34% YoY ในปี 2565 มาอยู่ที่ 199 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งที่สูงขึ้นอย่างมาก (ผลกระทบจาก COVID-19) เราคาดกำไรหลักของ KCG จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 300 ล้านบาทในปี 2566 (กำไรไตรมาส 1/66 เพิ่มขึ้น 105% YoY หนุนโดยรายได้ที่สูงขึ้นและอัตรากำไรหลักที่สูงขึ้น) เราคาดอัตราการเติบโตของกำไรหลักปี 2566-68 เฉลี่ยที่ 20% ซึ่งหนุนจากการเติบโตของธุรกิจปัจจุบัน กลยุทธ์ใหม่ เช่น “Beyond Dairy” และ SKU rationalization ร่วมกับผลิตภัณฑ์ใหม่ การเพิ่มอัตรากําไร และการขยายกำลังการผลิต
แผนการขยายกำลังการผลิต
KCG Logistics Park (มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาท) อยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีกำหนดแล้วเสร็จในครึ่งแรกของปี 2567 ผู้บริหารคาดว่าจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 50 ล้านบาท จากการยุติการเช่าจากบุคคลที่สาม และปรับปรุงโรงงานและสายการผลิตเนยและซีสใหม่ (ต้นทุนการลงทุนที่ 265 ล้านบาท) ทำให้สามารถขยายกําลังการผลิต 28% ภายในปี 2566 นอกจากนี้ KCG ยังเพิ่มกระบวนการผลิตแบบอัตโนมัติและติดตั้งเครื่องจักรที่เดินเครื่องเร็ว ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้