KS Daily View 09.08.2023 >>> SET ปรับฐานลงหลังจีนประกาศตัวเลขเศรษฐกิจอ่อนแอ ประเมินกรอบซื้อขาย 1,500/1,525 หุ้นแนะนำ KCE BH
สรุปภาวะตลาดเมื่อวานนี้
ต่างประเทศ : ดัชนี DJIA -0.45%, S&P 500 -0.42%, NASDAQ -0.79%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ Energy (+0.49%) ขณะที่ Materials (-1.05%), Consumer Discretionary (-0.87%), Financials (-0.87%)
ในประเทศ: SET Index -14.07 pts. หรือ -0.92% ปิดที่ 1,518.44 จุด ตัวขับเคลื่อนหลักสำคัญคือ BJC (+3.03%), BAY (+0.78%), BH (+0.89%), COM7 (+1.87%) ขณะที่ ADVANC (-1.79%), GULF -2.03%), AOT (-1.06%), CPALL (-1.67%)
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
มองดัชนีตลาดอาจปรับตัวลงต่อหลังหลุดแนวรับสำคัญ 1,520 จุด อีกทั้งปัจจัยต่างประเทศวันนี้เป็นลบกดดัน ทั้งจีนประกาศตัวเลขส่งออก/นำเข้าอ่อนแอ ราคาน้ำมันผันผวนช่วงข้ามคืนและ Moody ปรับลดความน่าเชื่อถือธนาคารสหรัฐฯหลายแห่ง มองกรอบซื้อขายวันนี้ที่ 1,525/1,545 จุด
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.) กระทรวงพาณิชย์จีนแถลงตัวเลขส่งออกเดือน ก.ค. ปรับตัวลงแรง 14.5% YoY โดยตัวเลขที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดและลดลงต่อจากเดือนก่อน ขณะที่ยอดนำเข้าก็ปรับตัวลงแรง 12.4% YoY ลดลงต่อจากเดือนก่อนและต่ำกว่าที่ตลาดประเมิน โดยตัวเลขนำเข้าจีนกลับมาหดตัวแรงเป็นเลขสองหลักอีกครั้งในรอบนับตั้งแต่ ม.ค. 2566 สะท้อนอุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอท่ามกลางความเสี่ยงภาวะเงินฝืด
2.) ดัชนี STOXX Europe 600 Bank index ปรับตัวลง -2.7% วานนี้ หลังมีข่าวว่าทางการอิตาลีจะเก็บภาษีลาภลอย 40% ของกำไรธนาคารสำหรับปี 2023 จากดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ ทั้งนี้จะกำหนดเพดานภาษีไว้ที่ไม่เกิน 0.1% ของทรัพย์สินธนาคาร ทำให้นักลงทุนกังวลว่าประเทศอื่นๆจะทำตาม
3.) ตลาดหลักทรัพย์ฯเผยเบื้องต้นจะออกดัชนี SET50 และ SET100 ทั้งแบบเดิม (Market cap weight) และแบบใหม่ (FF adjusted weight) เพื่อให้นักลงทุนเลือกใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2567 โดย SET Index ยังเป็น Market cap weight แบบเดิมเช่นเดียวกับสัญญา SET50 index futures ที่ยังอิงอยู่กับแบบ Market cap weight จนกว่าจะมีการประกาศเปลี่ยนแปลง เรามองมีโอกาสที่ตลาดจะหันไปใช้แบบใหม่ (FF adjusted) มากกว่าเพราะจะช่วยลดอิทธิพลของ DELTA ที่มีต่อ SET50 ลดลงเหลือ 5.5% จาก 10.9%
4.) บริษัท Moody ซึ่งเป็น credit rating agency มีการปรับลดความน่าเชื่อถือของธนาคารสหรัฐฯลงหลายแห่งกดดันให้ดัชนีหุ้นในต่างประเทศโดยเฉพาะ Dow Jones ปรับตัวลดลงแรงในช่วงข้ามคืน
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,520 – 1,545 จุด โดยปัจจัยในประเทศรอความชัดเจนของการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีหลังศาลรธน.เลื่อนพิจารณาคำร้องโหวตซ้ำ “พิธา” เป็น 16 ส.ค.นี้ และผลประกอบการไตรมาส 2/66 ของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ ตัวเลขส่งออก-นำเข้าของจีนเดือน ก.ค. วันอังคารเช้า, ตัวเลขเงินเฟ้อจีนเดือน ก.ค. วันพุธเช้า, และ ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ คืนวันพฤหัสฯ
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
- KCE (ราคาพื้นฐาน 48 บาท) มองบริษัทได้ประโยชน์จากแนวโน้มค่าเงินบาทที่มีการปรับตัวอ่อนค่า อีกทั้งคาดการระบายสต็อกสินค้ากำลังสิ้นสุดอาจเห็นการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อตั้งแต่ไตรมาส 3/2566 รวมถึงอัตราค่าไฟฟ้า ต้นทุนวัตถุดิบราคาเรซินและไฟเบอร์กลาสที่ลดลงทำให้ GPM ปรับดีขึ้น
- BH (ราคาพื้นฐาน 233 บาท) ภาวะ sentiment ตลาดเป็นลบ ปัจจัยทั้งในและต่างประเทศกดดัน ทำให้หุ้น defensive ในกลุ่มโรงพยาบาลมีความน่าสนใจ อีกทั้งมีปัจจัยเฉพาะโดยในส่วนของ BH ที่เราคาดบริษัทประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2566 ออกมาแข็งแกร่งและเร่งตัวต่อในไตรมาส 3/2566 จาก high season คนป่วยเพิ่มขึ้น นักเรียนเปิดเทอม ฝนตกหนักและนักท่องเที่ยวต่างชาติเร่งตัว
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันพุธติตตามตัวเลขเงินเฟ้อของจีน (CPI) เดือนก.ค. ตลาดปรับตัวลดลง -0.3% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ทรงตัว 0.0% YoY ตัวเลขเงินเฟ้อที่ติดลบสะท้อนภาวะระดับราคาสินค้าและบริการหดตัวหรือกล่าวคือส่งสัญญาณเกิดสถานการณ์เงินฝืด
- วันพฤหัสฯ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) เดือนก.ค. ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 2.8% YoY ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 3.0% YoY และเงินเฟ้อพื้นฐาน (core CPI) เดือนก.ค. ที่ตลาดคาดจะเพิ่มขึ้น 4.7% YoY ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 4.8% YoY
- วันศุกร์ ติดตามตัวเลขยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ของจีน (New Yuan Loans) เดือน ก.ค. ตลาดคาดที่ 1,810 พันล้านหยวน ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 3,050 พันล้านหยวน ต่อด้วยตัวเลข GDP ของอังกฤษสำหรับไตรมาส 2/2566 ตลาดคาดหดตัว -0.8% YoY เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 0.2% YoY และตัวเลขความเชื่อมั่นสหรัฐฯเบื้องต้นจาก University of Michigan ตลาดคาดปรับตัวลดลงเป็น 70.9 จาก 76.1 เดือนก่อนหน้า