บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):
KCE Electronics (KCE.BK/KCE TB)*
คาดหวังการฟื้นตัว
Event
ประชุมนักวิเคราะห์
Impact
ยอดขายใน 2H66 ฟื้นตัวด้วยเป้ายอดขายเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567
บริษัทคาดยอดขายใน 2H66 ดีขึ้น หลังจากปัญหาช่วงการปรับลดปริมาณสินค้าคงคลัง (inventory destocking) ของลูกค้าได้รับการแก้ไขเรียบร้อย (คาดกำลังการผลิตมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจาก 77% ใน 2Q66 เป็นระดับราว 85%++ ใน 3Q66-4Q66) ทั้งนี้ บริษัทเห็นคำสั่งซื้อ / backlog ล่วงหน้าประมาณ 3-4 เดือน อย่างไรก็ตาม ยอดขายใน 1H66 ที่อ่อนแอ กดดันให้ประมาณการยอดขายทั้งปีนี้ของบริษัทอาจลดลงราว 5% YoY ในขณะที่ บริษัทคาดหวังว่ายอดขายจะเติบโตต่อเนื่องในระดับ 5-10% YoY ในปี 2567F ด้วยเป้าหมายของยอดขายที่สูงกว่าที่เคยทำไว้ในปี 2565 (ที่ 530 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
คาดอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวเช่นกัน
ผู้บริหารของ KCE คาดอัตรากำไรขั้นต้น (gross margin) ใน 2H66 ดีขึ้นจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยเป้าหมาย gross margin ใน 2H66 อยู่ในระดับ 22-24% นอกจากนั้น ผู้บริหารยังประเมินทิศทางแนวโน้มของ gross margin จะดีต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 ตามยอดขายที่สูงขึ้น (ด้วยอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอยู่ราว 90%++ ในปี 2567) บริษัทตั้งเป้า gross margin ในปี 2567 ที่ประมาณ 26-27%
ปรับลดประมาณการกำไรปี 2566-2567 ลง แต่ปรับเพิ่ม PER ใหม่สะท้อนการพลิกฟื้นของอุตสาหกรรม
เรายืนยันมุมมองการฟื้นตัวกำไรของ KCE เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบ HoH ใน 2H66 และในปี 2567 อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานใน 2Q66 ทำให้เรามีการทบทวนสมมติฐานใหม่ และเป็นเหตุให้เราปรับลดประมาณการกำไรหลักลง 16% และ 8% ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ ดังนั้น เมื่ออิงจากประมาณการใหม่ของเรา กำไรหลักของ KCE ในปี 2566 จะลดลง 29% YoY หลังจากนั้นจะกลับมาเติบโตที่ 23% YoY ในปี 2567F ทั้งนี้ เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกในประเด็นเรื่อง Inventory restocking ซึ่งคาดว่าจะช่วยเร่งยอดขายของ KCE และส่งผลดีต่อความสามารถในการทำกำไร เราปรับ PER จากที่ 22.0X (ค่าเฉลี่ยในอดีต-0.5 S.D) ขึ้นเป็น 29.0X (ค่าเฉลี่ยในอดีต +0.5 S.D) เพื่อสะท้อนมุมมองเชิงบวกของภาพอุตสาหกรรม
Valuation & action
เราขยับไปใช้ราคาเป้าหมายใหม่เป็นสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 49.0 บาท (จากเดิมที่ 36.5 บาท) โดยอิงจาก PER ที่ 29.0x (ค่าเฉลี่ยในอดีต +0.5 S.D) และยังคงคำแนะนำ “ถือ” หุ้น KCE
Risks
ภัยธรรมชาติ มีการปิดโรงงานนอกแผน ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก suppliers รายอื่น ขาดแคลนวัตถุดิบ เงินบาทแข็งค่าขึ้น (เราใช้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนปี 2566-2567 ที่ 33.8 บาท/ดอลลาร์ฯ)
