บล.บัวหลวง: 

Jasmine Broadband Internet Infrastructure Fund (JASIF TB / JASIFu.BK)

JASIF – กำไรหลักเป็นไปตามคาด; คาดกำไรหลักไตรมาส 3/66 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย YoY

กําไรสุทธิต่ำกว่าคาด แต่กำไรหลักเป็นไปตามคาด

JASIF รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/66 ที่ 67 ล้านบาท ลดลง 95% YoY และพลิกกลับ QoQ จากขาดทุนสุทธิที่ 1.43 พันล้านบาทในไตรมาส 1/63 หากไม่รวมขาดทุนที่ยังไม่ได้รับรู้จริง จากการตีมูลค่าสายใยแก้วนำแสงใหม่จํานวน 2.2 พันล้านบาทในไตรมาส 2/66 กำไรหลักในไตรมาสนี้อยู่ที่ 2.27 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% YoY และทรงตัว QoQ ทั้งนี้ผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการตีมูลค่าสินทรัพย์ใหม่ในไตรมาส 2/56 ไม่ถูกนํามาคำนวณในการจ่ายเงินปันผลต่อหน่วยแต่อย่างใด กำไรสุทธิต่ำกว่าคาด 97% เนื่องจากรายการพิเศษขาดทุนจากการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ใหม่ที่ยังไม่รับรู้จริงดังที่ได้กล่าวข้างต้น (ซึ่งถือว่าไม่ได้อยู่ในการคาดการณ์ของเราก่อนหน้า) แต่กำไรหลักเป็นไปตามที่เราคาดก่อนหน้า บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลต่อหน่วยสําหรับผลประกอบการไตรมาส 2/66 ที่ 0.23 บาท/หน่วย หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 81.2% (ของกำไรหลัก) ซึ่งถือว่าเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ก่อนหน้าเช่นกัน

ประเด็นหลักผลประกอบการ

กําไรหลักที่ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย YoY เนื่องมาจากอัตราค่าเช่าที่เพิ่มขึ้น 3% ซึ่งอิงกับอัตราเงินเฟ้อในปี 2565 ที่ 6.08% และเนื่องจากอัตราการเติบโตของค่าเช่าที่ถูกนํามาใช้สําหรับในปี 2566 ต้องไม่เกิน 3% หรือไม่ต่ำกว่า 0% ดังนั้น อัตราการเติบโตที่ 3% จึงถูกนำมาใช้กับอัตราการเติบโตของค่าเช่าเฉลี่ยสําหรับในปี 2566 รายได้ค่าเช่าในไตรมาสนี้อยู่ที่ 2.64 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% YoY (เนื่องจากอัตราค่าเช่าที่ปรับขึ้น 3%) และทรงตัว QoQ ค่าใช้จ่ายในการดำาเนินงานรวมในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น 3.6% YoY (เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงและค่าสิทธิแห่งทางที่เพิ่มขึ้น) และทรงตัว QoQ ค่าใช้จ่ายด้านกองทุนรวมในไตรมาสนี้ลดลง 5.4% YoY และ 0.8% QoQ (เนื่องจากค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุนที่ลดลง)

แนวโน้ม

สําหรับในไตรมาส 3/66 เราประมาณการรายได้ค่าเช่าที่ 2.64 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% YoY และทรงตัว QoQ และกำไรหลักที่ 2.27 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% YoY และทรงตัว QoQ เช่นกัน เรายังคงประมาณการเงินปันผลที่ 0.23 บาท/หน่วย สําหรับในไตรมาส 3/66 ภายใต้สมมติฐานว่าผู้ถือหน่วยลงทุน JASIF ได้ทําการอนุมัติการเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาเช่าหลัก และยกเลิกสัญญารับประกันรายได้ในที่ประชุมผู้ถือหน่วยลงทุน JASIF ที่จะจัดให้มีขึ้นใน วันที่ 23 ส.ค. 2566 ซึ่งเราใช้สมมติฐานว่าทั้ง 2 เงื่อนไขจะมีผลนับตั้งแต่ไตรมาส 4/66 เป็นต้นไป ดังนั้นเงินปันผลต่อหน่วยในไตรมาส 3/66 จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ และมีแนวโน้มที่จะทรงตัวอยู่ในระดับเดิมที่ 0.23 บาท/หน่วย

นอกจากนี้ ถึงแม้ว่า TTTBB ได้แจ้งระงับการจ่ายค่าเช่าเฉพาะในส่วนของสัญญารับประกันรายได้ (หรือคิดเป็นรายได้ค่าเช่า 289 ล้านบาท/เดือน) ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2566 และได้เสนอที่จะชำระค่าเช่าที่ค้างชำาระดังกล่าว โดยแบ่งเป็น 6 งวดซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนม.ค. ถึงมิ.ย. 2567 แต่เราก็ยังคงคาดว่า JASIF จะสามารถหาเงินที่ขาดไปจำนวนประมาณ 600 ล้านบาทมาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน JASIF สําหรับในช่วง 3 เดือนนับตั้งแต่เดือนก.ค.-ก.ย. 2566 เพื่อที่จะยังคงการจ่ายเงินปันผลในระดับเดิมที่ 0.23 บาท/หน่วยในไตรมาส 3/66 เราคาดว่าเงินปันผลต่อหน่วยมีแนวโน้มลดลงเหลือ 0.15 บาท/หน่วยในไตรมาส 4/66 ซึ่งจะได้รับผลกระทบทางลบจากการยกเลิกสัญญารับประกันรายได้ ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ไตรมาส 4/66 เป็นต้นไป ทั้งนี้ให้สังเกตว่าเงินสดในมือของ JASIF ได้เพิ่มขึ้นจาก 106 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 1/66 ไปอยู่ที่ 2.51 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 2/66  ในขณะที่เงินลงทุนในหลักทรัพย์ได้ปรับตัวลดลงจาก 4.64 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 1/66 เหลือ 2.42 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 2/66 ซึ่งนั่นหมายความว่าการขายหลักทรัพย์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นในไตรมาส 2/66 และจะเป็นแหล่งเงินสดสำหรับการจ่ายเงินปันในไตรมาส 3/66

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป

เราทำการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ลงอีก 45% (เหลือ 2.66 พันล้านบาท) โดยคำนวณขาดทุนที่ยังไม่ได้รับรู้จริงจากการตีมูลค่าสายใยแก้วนำแสงใหม่จำนวน 2.2 พันล้านบาทเข้าไปในประมาณการ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรายังประมาณการกำไรหลักสำหรับปี 2566 ไว้เท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลงที่ 8.29 พันล้านบาท

คําแนะนํา

ถึงแม้ว่าการคาดการณ์ว่าสัญญารับประกันรายได้จะถูกยกเลิก ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่ไตรมาส 4/66 เป็นต้นไป แต่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ระดับ 9% ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไปถือว่าอยู่ในระดับที่สูงและน่าสนใจ เรายังคงคำแนะนำ “ถือ” สำหรับ JASIF เนื่องจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

 

- Advertisement -