BGC โชว์ยอดขาย Q2/66 ที่ 3,511 ล้านบาท เติบโต 4% เตรียมจ่ายปันผลระหว่างกาล พร้อมเดินเครื่องเตาหลอมแก้วโรงงานอยุธยา

BGC โชว์ยอดขาย Q2/66 ที่ 3,511 ล้านบาท เติบโต 4% เตรียมจ่ายปันผลระหว่างกาล พร้อมเดินเครื่องเตาหลอมแก้วโรงงานอยุธยาหลังปรับปรุงประสิทธิภาพแล้วเสร็จ คาดราคาวัตถุดิบและพลังงานลดลงในครึ่งปีหลัง หนุนอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น

บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส หรือ BGC โชว์ผลงานไตรมาส 2/2566 กวาดรายได้จากการขาย 3,511 ล้านบาท เติบโต 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รับยอดขายบรรจุภัณฑ์แก้ว แพคเกจจิ้งกระดาษและฟิล์มเพิ่มขึ้นหลังท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว และเริ่มรับรู้รายได้จากการลงทุนในบริษัทไพร์ม แพ็คเกจจิ้ง จำกัด ส่วนราคาวัตถุดิบบางรายการและราคาพลังงานเริ่มลดลง คาดครึ่งปีหลังทยอยลดลงต่อเนื่องหนุนอัตรากำไรขั้นต้น รวมถึงเริ่มเดินเครื่องจักรผลิตเชิงพาณิชย์เตาหลอมแก้วที่ 1 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังเพิ่มประสิทธิภาพแล้วเสร็จและยังสามารถปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติไปใช้พลังงานไฟฟ้าในเครื่องจักรบางส่วนอีกด้วย

นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วและแพคเกจจิ้งรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 (เมษายน-มิถุนายน) มีรายได้จากการขาย 3,511 ล้านบาท เติบโต 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้วางกลยุทธ์ผลักดันการเติบโตส่งผลให้ยอดขายจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วในกลุ่มโซดาและน้ำดื่ม (Soda & Water) เพิ่มขึ้น เนื่องจากภาพรวมของการท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว และกลุ่มธุรกิจแพคเกจจิ้งที่มียอดขายเพิ่มขึ้นจากแพคเกจจิ้งกระดาษและฟิล์ม รวมถึงเริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าถือหุ้นในบริษัท ไพร์ม แพ็คเกจจิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนและม้วนฟิล์มประมาณ 103 ล้านบาทในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจแพคเกจจิ้งมียอดขายสูงสุด นับตั้งแต่ขยายการลงทุน
ปี 2564 ด้วยวิธีควบรวมธุรกิจ อย่างไรก็ตามแม้ราคาวัตถุดิบและพลังงานเริ่มปรับลดลง แต่ยังอยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงมีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 71 ล้านบาท ชะลอตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน) ของปีนี้ มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 7,325 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 7,355 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 146 ล้านบาท ชะลอตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลให้มีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น รวมถึงในไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มีรายได้พิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจพลังงาน

ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ จึงมีมติจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.06 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 41.67 ล้านบาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 23 สิงหาคม 2566 และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 กันยายน 2566

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BGC กล่าวว่า แนวโน้มต้นทุนการผลิตในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้คาดว่าจะปรับลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นพลังงานหลักในการผลิตบรรจุภัณฑ์แก้ว ราคาโซดาแอช (โซเดียมคาร์บอเนต) ที่เป็นวัตถุดิบหลัก รวมถึงอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาเริ่มลดลงและมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทฯ มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตควบคู่กับการลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นครึ่งปีหลังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้วางแผนบริหารความเสี่ยงด้านต้นทุน เช่น การเจรจาราคาวัตถุดิบกับคู่ค้า การปรับสูตรการผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยโดยไม่กระทบคุณภาพผลิตภัณฑ์ การปรับใช้พลังงานทางเลือกที่เหมาะสมเพื่อบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ พร้อมเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์เตาหลอมแก้วที่ 1 โรงงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังจากได้ลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรและขยายกำลังการผลิตเป็น 400 ตันต่อวัน จากเดิม 320 ตันต่อวัน รวมถึงปรับเปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิงเป็นพลังงานไฟฟ้าในเครื่องจักรบางส่วน จากเดิมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถการผลิตและการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับนโยบายด้าน ESG ซึ่งในปีนี้ บริษัทฯ วางแผนปรับปรุงประสิทธิภาพเตาหลอมแก้วของโรงงานจังหวัดขอนแก่นเป็นลำดับต่อไป

“แผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังคือมุ่งเน้นการเพิ่มยอดขายเพื่อรับโอกาสจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและเข้าสู่ฤดูกาลขายของบรรจุภัณฑ์แก้ว รวมถึงเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นจากต้นทุนที่ลดลง และการผลิตที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้ง ธุรกิจใหม่ ๆ จากการควบรวมกิจการ เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพและโอกาสเติบโตของบริษัทที่ดียิ่งขึ้น และคาดหวังว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก” นายศิลปรัตน์ กล่าว

 

- Advertisement -