DDD เผยกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2566 โต 114% YoY พร้อมลุยขยายตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ หนุนรายได้ครึ่งปีหลัง
บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก อุปกรณ์ตกแต่งทรงผม อุปกรณ์เสริมความงาม ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์เครื่องครัว แบรนด์ดัง อาทิ SNAILWHITE, NAMU LIFE, OXE’CURE, SPARKLE, LESASHA, JASON, EMJOI, BEAR, iLIFE และ @HOME รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2566 มีผลกำไรสุทธิ 1.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 114 โดยมีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 19.07 ล้านบาท พร้อมลุยขยายตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ หนุนรายได้ครึ่งปีหลัง
นางสาวนันทวรรณ สุวรรณเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD กล่าวรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2566 ว่า “บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 375 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.54 จากปัจจัยการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวที่ช้ากว่าคาดการณ์ และจุดจำหน่ายสินค้าประเภทเสริมความงามบางแห่งในห้างสรรพสินค้ามีการปิดปรับปรุง โดยทางบริษัทฯ ได้ขยายช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางอื่น ครอบคลุมไปถึงช่องทางออนไลน์ งานแสดงและจัดจำหน่ายสินค้า คาดว่าในไตรมาส 3 จะเริ่มกลับมาฟื้นตัว สำหรับการส่งออกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยังมีการเติบโตได้ดีในอัตราร้อยละ 2.70 จากการขยายตลาดไปสู่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกลุ่มเอเชียตะวันออกเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ต้นทุนสินค้าขายสำหรับไตรมาส 2 ปี 2566 มีมูลค่า 136 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 36.22 ของรายได้จากการขาย โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.68 point เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565 ที่มีต้นทุนสินค้าและบริการ 140 ล้านบาท หรือร้อยละ 34.54 ของรายได้จากการขาย จากการลดลงของรายได้จากการขายส่งผลให้ต้นทุนต่อหน่วยผลิตปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทฯ คงมาตรการคุมเข้มด้านต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว
ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสำหรับไตรมาส 2 ปี 2566 มีมูลค่า 219 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 58.31 ของรายได้จากการขาย ลดลง 10 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565ที่มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 229 ล้านบาท หรือร้อยละ 56.35 ของรายได้จากการขาย ทั้งนี้ บริษัทฯ คงนโยบายควบคุมค่าใช้จ่ายตามแผน Synergy Roadmap ภายในกลุ่มบริษัทเพื่อลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานภายในกลุ่มของบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของการบริหารจัดการด้านคลังสินค้าและสำนักงานที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ช่วงปลายปี 2564 เป็นต้นมา
จากปัจจัยข้างต้น บริษัทฯ มีผลกำไรจากการดำเนินงาน (Net Profit from Operating Performance) ในไตรมาส 2 ปีนี้ เท่ากับ 19 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตรากำไรจากการดำเนินงานเทียบกับรายได้จากการขายที่อัตราร้อยละ 5.08
ด้านนโยบายการลงทุน บริษัทฯ ยังคงระมัดระวังในการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน โดยในไตรมาส 2 ปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้อื่นจากการลงทุนจำนวน 29 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ที่มูลค่า 1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565 ที่มีรายได้อื่นจำนวน 28 ล้านบาท นอกจากนี้ไตรมาส 2 ปี 2566 มีการรับรู้ขาดทุนจากการตีมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินตามมาตรฐานการบัญชี จำนวน 48 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 33.63 ที่มูลค่า 25 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565 ที่มีการรับรู้ขาดทุนจากการตีมูลค่าสิทรัพย์ทางการเงิน 73 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมของกิจการอยู่ที่ 1.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 114 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565 ที่มีขาดทุนสุทธิ 10 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มุ่งเน้นการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีสินค้า เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ พร้อมตอกย้ำการเป็นแบรนด์ผู้นำด้านอุปกรณ์จัดแต่งทรงผมอันดับ 1 ในประเทศไทย โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ล่าสุดในกลุ่มของผลิตภัณฑ์เสริมความงามในช่วงต้นไตรมาส 3 ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานสำหรับทุกเพศ ได้แก่ LESASHA Smart BLDC Jet และ LESASHA Hybrid Smart Hair Crimper นอกจากนี้บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวแบรนด์และผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มของไลฟ์สไตล์ ที่จะเข้ามาเสริมทัพและช่วยผลักดันรายได้ให้กับบริษัทฯ ในช่วงครึ่งปีหลังได้อย่างแน่นอน จากปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจหลายประการ บริษัทฯเพิ่มมาตรการการคุมเข้มด้านค่าใช้จ่ายพร้อมแผนการตลาดที่ระมัดระวังเพื่อให้การใช้จ่ายเกิดประสิทธิภาพสูงสุด