บล.ฟิลลิป:

เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ – KCE ปัจจุบันอัตรากำลังผลิตกลับมาสู่ภาวะปกติ

Key Point

2Q66 รายได้ลดลง y-y และ q-q ลูกค้ายังลดระดับสต๊อกอยู่ GPM 19.1% ลดลง y-y และ q-q จากอัตรากำลังผลิตที่ลดลง และถึงรอบปรับปรุงค่าใช้จ่าย ทำให้ SG&A ต่อยอดขายไตรมาสนี้ลดลง q-q ช่วยให้มีกำไรสุทธิ 376 ลบ. -34.2%y-y แต่ฟื้นตัว +8.9%q-q, 3Q66 การลดระดับสต๊อกสิ้นสุดแล้ว อัตรากำลังผลิตกลับสู่ภาวะปกติ คาดรายได้ปี 67 +5-10% y-y ราคาพื้นฐานปี 67 ที่ 59.50 บาท/หุ้น ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ”

2Q66 ลูกค้าลดระดับสต๊อกอยู่

2Q66 ยอดขาย PCB และ HDI ลดลงทั้ง y-y และ q-q ผลกระทบจากการลดระดับสต๊อกของลูกค้า อัตรากำลังผลิต 70% GPM 19.1% ลดลง y-y และ q-q, SG&A ต่อยอดขาย 10.7% ลดลง q-q จากถึงรอบการปรับปรุงค่าใช้จ่ายทางบัญชีบางส่วน ทำให้กำไรสุทธิ 376 ลบ. -34.2%y-y แต่ฟื้นตัว +8.9%q-q

คาด 3Q66 ผลประกอบการฟื้นตัว q-q

3Q66 เห็นออเดอร์กลับมาอยู่ระดับปกติแล้ว ระดับยอดขายจะสูงกว่าช่วงครึ่งปีแรก ปัจจุบันอัตรากำลังผลิตอยู่ที่ 85% คาดจะทำรายได้และ GPM ได้ดีขึ้น q-q ผู้บริหารมองว่าสต๊อกลูกค้าอยู่ในระดับต่ำแล้ว การลดระดับสต๊อกหมดแล้ว คาดว่าจะกลับมาสั่งซื้อได้เป็นปกติใน 3Q66 และ 4Q66

ต้นทุนวัตถุดิบโดยรวมราคามีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะในส่วนของเคมิคอล ซึ่งอาจทำให้ต้องลดราคาให้ลูกค้าในปีหน้าประมาณ 3% แต่มองว่ารายได้ปี 67 เติบโต 5-10%y-y ณ ระดับค่าเงิน 34-35 บาท/ดอลลาร์ ยอดขายในรูป USD จะฟื้นมากกว่า 530 ล้านดอลลาร์ มากกว่าปี 66 และ 65 โดยมี HDI เป็นตัวผลักดัน ซึ่งปัจจุบัน KCE สามารถทำ HDI ได้ทุกส่วนประกอบที่มีอยู่ในธุรกิจยานยนต์ ถือว่าพัฒนาสินค้าตัวนี้ได้ดี และอัตรากำลังผลิตจะดีขึ้นกว่าปี 66 จะทำให้มาร์จิ้นดีขึ้น ซึ่งกำลังผลิตเดิมยังสามารถรองรับการเติบโตระดับนี้ได้ โรงงานใหม่ยังคงต้องรอให้เศรษฐกิจโลกดีกว่านี้ก่อน

จีน ไต้หวัน ฮ่องกง ศึกษาผลกระทบหากเข้ามาตั้งโรงงาน

การที่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศที่พัฒนากว่าย้ายเข้ามาตั้งโรงงานในไทยจะทำให้ KCE ได้ประโยชน์ โดยจะทำให้มีธุรกิจ outsource ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ลดปัญหาคอขวดในการผลิตในบางสายงานสามารถทำอัตรากำลังผลิตรวมได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องจักรใหม่เข้ามา ลดเวลาและต้นทุนการดูแลเครื่องจักร แต่อาจจะมีต้นทุนเพิ่มเรื่องของการแย่งแรงงาน ขณะผู้ที่เข้ามาใหม่ยังต้องรับต้นทุนเพิ่มราว 10-15% เนื่องจากต้นทุนการขนส่ง และการจัดการสินค้าคงคลังที่เพิ่มสูงขึ้น และด้วย outsource ที่ยังไม่เอื้ออำนวยเท่า จะทำให้ประสิทธิภาพในการใช้กำลังผลิตจะต่ำกว่าประเทศต้นทาง

ราคาพื้นฐานปี 67 ที่ 59.50 บาท/หุ้น อิง P/E 31.1 เท่า

ทางฝ่ายประเมินราคาหุ้น โดยใช้ P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี เนื่องจากสะท้อนภาพของธุรกิจที่กลับมาสู่ภาวะปกติ อยู่ที่เฉลี่ย 31.1 เท่า โดยคาดการณ์กำไรปี 67 อยู่ที่ 2,264 ลบ. คาดการณ์เติบโต 30.8%y- y ราคาพื้นฐานปี 67 อยู่ที่ 59.50 บาท/หุ้น ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ”

ความเสี่ยง

  1. กระบวนการผลิตที่มีหลายขั้นตอน อาจส่งผลต่ออัตราส่วนสูญเสียให้มีมาก
  2. ด้านการตลาดและการแข่งขันทางุรกิจส่งผลให้มีการแข่งขันด้านราคา
  3. ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
- Advertisement -