บล.บัวหลวง:

Starflex (SFLEX TB/SFLEX.BK)

SFLEX – กำไร 2Q23 ดีกว่าคาด แนวโน้ม 2H23 เติบโตดีต่อเนื่อง

กําไรหลักเป็นไปตามที่เราและตลาดคาด

SFLEX รายงานกำไรสุทธิ 2Q23 ที่ 50.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14 เท่า YoY และ 24% QoQ สูงกว่าที่เราและตลาดคาด 17% และ 14% ตามลำดับ เกิดจากอัตรากำไรขั้นต้น (GM) สูงกว่าคาด

ประเด็นสําคัญจากผลประกอบการ

กำไรที่เติบโตสูง YoY มาจากรายได้เพิ่ม และอัตราเท่าไรขั้นต้น (GM) เพิ่มขึ้นสูงมาก ส่วนการเติบโต QoQ เกิดจาก GM ขยายตัวเป็นหลัก โดยรายได้จากการขายอยู่ที่ 462 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% YOY ตามภาพเศรษฐกิจการใช้จ่ายบริโภคเพิ่ม และปีที่แล้วมีการปรับฐานลูกค้าใหม่ ทำให้รายได้ต่ำกว่าปกติ แต่รายได้ลดลงเล็กน้อย 2% QoQ เป็นตามฤดูกาล ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 24.9% เพิ่มขึ้นจาก 11.1% ใน 2Q22 (ฐานต่ำจากต้นทุนวัตถุดิบผันผวนและพุ่งเร็วจากประเด็นสงครามฯ) และ 20.5% ใน 1Q23 จากประสิทธิภาพการใช้เครื่องจักรและบริหารวัตถุดิบ-ต้นทุนดีขึ้น ในส่วน SG&Asales ratio อยู่ที่ 12.3% เพิ่มขึ้น 0.7% YoY และ 1.5% QoQ จากค่าใข้จ่ายเกี่ยวกับการลงทุน และเดินทางไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น

แนวโน้ม

แนวโน้มกำไร 3Q23 คาดเติบโตทั้ง YoY และ QoQ โดยในภาพการเติบโต YOY เกิดจากฐานรายได้และ GM ที่สูงขึ้นมา (เช่นเดียวกับ 2Q23) กอรปกับการเริ่มรับรู้ผลประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุน (BOI) รอบใหม่ ส่วนใน 4Q23 ผลประกอบการจะโดดเด่นมาก โดยคาดเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ และจะเป็นฐานกำไรรอบใหม่ของบริษัทที่ 50-60 ล้านบาท/ไตรมาส หนุนโดยรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจแพ็จเกจจิ้งในเวียดนาม (SPV] เต็มๆ ไตรมาสแรก หลังเข้าลงทุนร่วมกับ SCGP ทั้งนี้ เรามองความกังวลจากแนวโน้มสินค้าโภคภัณฑ์ (ซึ่งเป็นต้นทุนของ SFLEX) ปรับ ตัวขึ้น จะกระทบจํากัด เนื่องจากมีเทรนด์ที่ชัดเจน ไม่เร็วเกินไป ทำให้เจรจาราคาขายได้ กอรปกับบริษัทมีการบริหารสไลด์วัตถุดินเพื่อรองรับ Order สำหรับ 6-12 เดือนไว้ก่อนหน้า

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป

กําไรหลักที่ออกมาใน 1H23 คิดเป็น 49% ของประมาณการกำไรทั้งปีของเรา ซึ่งยังคงไว้ตามเดิม (Upside ราว 5-10%) เพราะคาดว่ากำไรจะกระจุกตัวในครึ่งหลัง (Backload) โดยเราคาดการณ์กำไรหลักปี 2023 ที่ 186 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 240% YoY หนุนโดยรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัว ทั้งส่วนแบ่งกําไร SPV เข้ามาในช่วงปลาย 3Q23 และเต็มไตรมาสใน 4Q23

คําแนะนํา

ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมา 20% จากจุดสูงสุดไปต่ำสุด (และเพิ่งรีบาวน์ 7%) เรามองว่าตลาดยังอยู่ในโหมดกังวลมากเกินไป เป็นโอกาสในการสะสม เราจึงคงคําแนะนําซื้อ และราคาเป้าหมาย 6.35 บาท โดยใช้ EPS ปี 2023 ที่ 0.23 เท่า และอิงสมมติฐาน PER ที่ 28 เท่า (ค่าเฉลี่ย PER ในอดีต หักลบด้วยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.5SD โดยเผื่อค่าความเสี่ยงความผันผวนของอัตรากำไรแล้ว) ทั้งนี้ ราคาหุ้นปัจจุบันชื้อขายบน PER ที่ 17 เก่า คิดเป็น PEG [เทียบเติบโตเฉลี่ยปี 2023-25 ที่ 72% CAGR) ได้เพียง 0.2-0.3 เท่า

- Advertisement -