บล.ฟิลลิป:

บัตรกรุงไทย – KTC 2H66 จะดีกว่า 1H66

Key Point

ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรโตดีกว่าเป้าไปแล้ว สินเชื่อรวม สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อของ KTBL โตใกล้เคียงเป้าแล้ว และน่าจะเติบโตต่อ และดีกว่า 1H66 เนื่องจาก 2H66 เป็น High season มาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของ ธปท. ในบางเรื่องอาจจะไม่กระทบกับ KTC เลย แต่ในบางเรื่องก็อาจจะกระทบกับรายได้ให้ลดลง แต่ยังจ้องติดตามรายละเอียดต่อเนื่องจากยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน ยังคงประมาณการ คงราคาพื้นฐาน 68 บาท และยังแนะนำ “ซื้อ”

ทําได้ตามเป้าในหลายรายการ และ 2H66 จะดีต่อ

KTC มียอดใช้จ่ายผ่านบัตร 1H66 เติบโต 16.3% สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 10% สินเชื่อรวมเติบโต 11.1% ใกล้เคียงกับเป้าที่ตั้งไว้ 15% สินเชื่อส่วนบุคคลเติบโตแล้ว 6.8% จากเป้าที่ตั้งไว้ 7% สินเชื่อใหม่ของ KTBL ปล่อยได้ 1.4 พันลบ. จากเป้า 3 พันลบ. และทาง KTC คาดว่าใน 2H66 การเติบโตจะดีกว่า 1H66 เนื่องจากเป็น High season มีเพียงสินเชื่อพี่เบิ้มที่ปล่อยได้ 1.1 พันลบ. จากเป้าที่สูงมากถึง 9 พันลบ. และเป้าการรักษาระดับ NPL ไว้ไม่ให้เกิน 1.8% แต่ NPL ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 2% แต่ก็เป็นระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่ม และ KTC นั้นมีสำรองที่สูงมาก โดยมีอยู่ถึง 433%

มาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของ ธปท. อาจจะกระทบ KTC ในบางเรื่อง

จากมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของ ธปท. ที่ในขณะนี้อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นอยู่ ในประเด็นที่จะใช้เป็นเรื่องแรกคือเริ่มต้นปี 67 คือการปล่อยกู้อย่างรับผิดชอบนั้น ทาง KTC มองว่าจะไม่กระทบกับ KTC เนื่องจาก KTC นั้นมีการปล่อยกู้ตามแนวทางนี้อยู่แล้ว ส่วนการแก้ปัญหาหนี้เรื้อรัง ทาง KTC นั้นมีสัดส่วนลูกค้าที่มีรายได้ต่ำกว่า 2 หมื่นบาท และมีการชำระเงินต้นน้อยกว่าดอกเบี้ยอยู่ไม่มาก โดยประเมินว่าหากลูกค้าทุกคนที่เข้าข่ายจะเข้าโครงการทั้งหมดจะกระทบกับรายได้ให้ลดลงประมาณ 18 ลบ./เดือน และจะกระทบกับกำไรปี 67 ที่ทางฝ่ายคาดไว้ประมาณ 2.2% โดยจะทำให้กำไรที่คาดไว้ที่ 7.8 พันลบ. ลดลงเหลือ 7.6 พันลบ. อย่างไรก็ตาม ทาง ธปท. ยังไม่ได้มีแนวทางสุดท้ายออกมา ยังคงต้องติดตามต่อว่าจะมีรายละเอียดใดแตกต่างจากร่างแรกหรือไม่

ยังคงประมาณการ และราคาพื้นฐาน และยังแนะนำ “ซื้อ”

ทางฝ่ายยังคงประมาณการกำไรปี 66 ของ KTC ไว้ที่ 7.4 พันลบ. เพิ่มขึ้น 4.1% y-y และคาดว่าจะมีการจ่ายปันผล 1.20 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. yield 2.6% และยังคงราคาพื้นฐาน 68 บาท ยังมีส่วนต่างเหลือพอสมควร และยังคาดหวังการทำกำไรเติบโต และทำ New high ได้ต่อเนื่อง จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ”

ความเสี่ยง
  1. ความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระหนี้
  2. ความเสี่ยงอันเกิดจากการควบคุมของรัฐ
  3. ความเสี่ยงอันเกิดจากสภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการ
- Advertisement -