LPH ส่งซิก H2 ไฮซีซั่นธุรกิจหนุนรายได้โต 20-25% ตามแผน เร่งเพิ่มลูกค้าต่างชาติแตะ 10% ชูโมเดลรพ.เฉพาะทาง บอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.03บาท
LPH เผยทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลังมีการเติบโตที่ดี รับอานิสงส์เข้าไฮซีซั่น คนไข้ในประเทศกลับมารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น หนุนรายได้ทั้งปีโต 20-25% เพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างชาติแตะ 10% พร้อมเร่งสร้างโรงพยาบาลเฉพาะทางแห่งใหม่ คาดเปิดให้บริการในช่วงต้นปี 2568 ล่าสุดประกาศผลงานในงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ บุ๊คกำไร 22.62 ลบ. ลดลง 89.79% รายได้รวมอยู่ที่ 1,016.18 ลบ. ลดลง 21.97% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เหตุสิ้นสุดภาวะการระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลให้รายได้จากการตรวจรักษาที่เกี่ยวข้องเมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนลดลง ด้านบอร์ดตอบแทนผู้ถือหุ้น อนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.03 บาท/หุ้น ขึ้น XD วันที่ 29 ส.ค. 2566 กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 8 ก.ย.นี้
ดร.อังกูร ฉันทนาวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลลาดพร้าว จำกัด (มหาชน) หรือ LPH เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมองว่าโดยรวมยังมีการเติบโตต่อเนื่อง จากปัจจุบันมีคนไข้ภายในประเทศกลับมาเข้ารับการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น ทั้งคนไข้ภายนอก (OPD) และคนไข้ใน (IPD) โดยสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มผู้ป่วยจากประกันสังคม (สปส.) ราว 45% เเละกลุ่มผู้ป่วยเงินสดราว 55%
ปัจจุบันโรงพยาบาลมีฐานผู้ป่วยประกันสังคมล่าสุดอยู่ที่กว่า 1.7 แสนราย (บริษัทมีโควตารวมราว 2 แสนราย) ดังนั้นปีนี้ LPH จึงมีแนวทางทำตลาดในกลุ่มผู้ประกันตนของสปส.ให้มากขึ้น คาดว่าจะครบ 200,000 ราย ในช่วงต้นปี 2567 โดยจำนวนผู้ป่วยประกันสังคมที่เพิ่มขึ้นก็จะช่วยสนับสนุนการเติบโตในอนาคตอีกทางหนึ่ง และในช่วงที่ผ่านมาได้มีการเปิดศูนย์การแพทย์ประกันสังคมลาดพร้าวแห่งใหม่ ฝั่งตรงข้ามโรงพยาบาลเดิมด้วย เพื่อรองรับฐานผู้ป่วยที่ใหญ่ขึ้น สามารถรับผู้ป่วยนอกประกันสังคม วันละ 1,000 คน และเป็นศูนย์ตรวจสุขภาพประกันสังคมด้วย
ขณะที่ผู้ป่วยต่างชาติก็ทยอยกลับมามากขึ้นเช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่จะเป็นคนไข้จากทวีปตะวันออกกลาง รวมถึงคนไข้ประเทศกัมพูชา ซึ่งสนใจเข้ารับการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติในปี 2566 ไว้ที่ 120-150 ล้านบาท จากปี 2565ซึ่งอยู่ที่ 100 ล้านบาท เทียบกับฐานปกติ 80 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะช่วยให้สัดส่วนผู้ป่วยเงินสดเพิ่มสูงขึ้นด้วย ปัจจุบันโรงพยาบาลมีสัดส่วนคนไข้ต่างประเทศรวมทั้งหมดไม่ถึง 5% โดยตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปี (2566-2568) จำนวนผู้ป่วยจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นมาเป็นสัดส่วนที่10%
ขณะที่ความคืบหน้าของการลงทุนสร้างโรงพยาบาลเฉพาะทางแห่งใหม่ที่ถนนลาดพร้าว โรงพยาบาลจักษุอินเตอร์ฯ ลาดพร้าว มูลค่าการลงทุน 500 ล้านบาท และโรงพยาบาลศัลยกรรมเฉพาะทางรวมผ่าตัดหัวใจครบวงจร มูลค่าการลงทุน 500 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างขออนุญาตก่อสร้าง (EIA) ซึ่งหากได้รับการอนุมัติคาดว่าจะใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 1 ปีครึ่ง พร้อมเปิดให้บริการในช่วงต้นปี 2568 และบริษัทมีแผนขยายการลงทุน โรงพยาบาลตรวจสุขภาพเพิ่มขึ้นอีกด้วย
“แผนการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทมั่นใจว่ารายได้รวมเติบโต 20-25% จากปีก่อน จากปัจจัยที่คาดว่าจำนวนผู้ป่วยจากต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าตะวันออกกลาง (อาหรับ) และประเทศกัมพูชา จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น” ดร.อังกูร กล่าว
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 22.62 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 89.79% มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,016.18 ล้านบาท ลดลง 21.97% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการสิ้นสุดภาวะการระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลให้รายได้จากการตรวจรักษาที่เกี่ยวข้องเมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนลดลง 243.56 ล้านบาท และรายได้ส่งเสริมสุขภาพที่เกี่ยวข้องลดลง 76.93 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม รายได้จากการรักษาพยาบาลทั่วไป และรายได้จากโครงการประกันสังคม ตามปกติธุรกิจยังคงเติบโตต่อเนื่อง ประกอบด้วยการเติบโตของรายได้รักษาพยาบาลทั่วไปตามปกติธุรกิจเพิ่มขึ้น 30.06 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นคิดเป็น 5.89% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า รายได้จากโครงการประกันสังคมตามปกติธุรกิจเพิ่มขึ้นจำนวน 3.87 ล้านบาท หรือคิดเป็น1.28% จากการที่สำนักงานประกันสังคมได้อนุมัติปรับเพิ่มการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ให้แก่สถานพยาบาลคู่สัญญา
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการให้บริการของบริษัทย่อย บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย จำกัด (มหาชน) หรือ AMARC จำนวน 134.67 ล้านบาท เติบโต 2.54% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ให้การสนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา ทางคณะกรรมการบริษัทฯ พิจารณาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้น สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุด 30 มิ.ย. 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.03 บาท ให้กับหุ้นสามัญของบริษัท ขึ้น XD วันที่ 29 สิงหาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 8 กันยายน 2566