บล.ฟิลลิป:

พริมา มารีน – PRM 2H66 ธุรกิจยังดี และจะมีกำไรพิเศษขายเรือ

Key Point

คาด 2H66 ธุรกิจยังดีต่อเนื่องจาก 1H66 ทั้งจากการรับเรือเพิ่มอีก 2 ลำ เรือที่เข้า dry dock ใน 1H66 กลับมาทำงานได้เต็มใน 2H66 แม้จะมีเรือเข้า dry dock อีก 1 ลำ และจะมีกำไรพิเศษจากการขายเรือ FSU 1 ลำใน 3Q66 ส่วนปี 2567 มุ่งเน้นธุรกิจขนส่งน้ำมันและออฟชอร์ที่ยังมีแนวโน้มเติบโต รวมถึงรับเรือ Crew Boat 1 ลำ ปรับราคาพื้นฐานเป็น 8 บาท จากการปรับลด P/E ลงตามการเติบโตในปี 2567 ที่ชะลอตัวลง ยังคงแนะนำ “ซื้อ”

2H66 ธุรกิจโดยรวมยังมีแนวโน้มดี รวมถึงจะมีกำไรพิเศษขายเรือ

2H66 ธุรกิจยังไปได้ดีจาก 1H66 ที่มีกำไร 1,049 ล้านบาท แต่ก็มีความกังวลเรื่องต้นทุน จากราคาน้ำมันที่มีโอกาสสูงขึ้นจากเอเปกพลัสลดกำลังการผลิต แยกได้ตามธุรกิจหลักดังนี้

1) ธุรกิจขนส่งน้ำมัน

1.1 ขนส่งน้ำมันและปิโตรเคมีเหลว (domestic trading) ดีกว่า 1H66 จากการใช้น้ำมันในประเทศสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม JET-A1 ที่ฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว ทำให้การขนส่งเพิ่มขึ้น และเรือเคมีที่รับใน 2Q66 ทำงานได้เต็มใน 2H66 และจะมีเรือเคมีลำใหม่อีก 1 ลำเข้ามาต้น ต.ค. ซึ่งมีลูกค้าแล้ว

1.2 ขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศ (international trading) ดีกว่า 1H66 จากเรือ VLCC 3 ลำ ยังคงทำงานตามสัญญาจ้าง แม้เรือ Aframax มีแผนจะเข้า Dry Dock 2 สัปดาห์ในเดือน ก.ย. แต่ช่วง 1066 ค่าระวางเรือที่ได้ต่ำกว่าปัจจุบัน

2) ขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ และผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป (FSU) ลดลงจาก 1H66 เพราะใน 1Q66 มีเรือทำงาน 6 ลำ ตั้งแต่ 2Q66 จะมีเรือทำงานเหลือ 5 ลำ หลังจากเรือ 1 ลำเข้า Dry Dock มีผู้มาติดต่อขอซื้อและอยู่ระหว่างเจรจา จะมีกำไรจากการขายเรือเข้ามาสูงใน 3Q66 เทียบจาก 3Q65 ที่มีกำไรขายเรือ FSU 1 ลำ ที่ 521 ล้านบาท และการซื้อเรือเพิ่มชะลอไปเพราะราคาเรือปรับตัวขึ้นสูง 30- 40% จาก PRM เคยลงทุน

3) ขนส่งสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (Offshore Support) ดีกว่า 1H66 จากเรือ AWB (เรือโรงแรมลอยน้ำ) กลับมาทำงานเต็ม 2H66 จาก 1H66 ที่เข้า Dry Dock ได้ค่าเช่าที่ดีขึ้น และเรือ Crew Boat ทั้ง 13 สำรับงานของ PTTEP โดยจะมีรับเรือ Crew Boat ใหม่ 1 ลำในเดือน พ.ย. เพื่อไปทำงานต่างประเทศ และอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าหากสำเร็จจะมีการรับเรือเพิ่ม

ปี 2567 ยังขยายกองเรือมุ่งเน้นออฟชอร์และเคมีภัณฑ์

ปี 2567 ยังคงเน้นธุรกิจขนส่งน้ำมัน โดยเฉพาะเรือขนส่งเคมีภัณฑ์ระหว่างประเทศจากการผลิตเคมีภัณฑ์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตรายใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการนำเข้าน้ำมันของไทยที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมองหาการซื้อเรือมือสองเพิ่ม รวมถึงจะต่อเรือใหม่อย่างน้อย 6 ลำใช้ เวลาในการต่อเรือ 14-24 เดือน และธุรกิจออฟชอร์ จะมีการรับเรือ Crew Boat อีก 1 ลำ ในเดือน ก.พ. และจะเพิ่มเรือในบริการประเภทอื่น ๆ จากการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ยังมีต่อเนื่องทั้งใน ไทยและต่างประเทศ จึงเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจด้านนี้ และจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ให้สูงขึ้น ซึ่งอยู่ระหว่างหาโอกาสในการทํา M&A หรือ JV

ราคาพื้นฐานปี 66 ที่ 8.00 บาท ยังคงแนะนำ “ซื้อ”

ทางฝ่ายปรับคาดการณ์รายได้ลงเป็น 8,354 ล้านบาท แต่ปรับกำไรขึ้นเป็น 2,004 ล้านบาท จากอัตรากำไรขั้นต้นใน 1H66 ที่ดีกว่าคาด ซึ่งกำไรยังไม่รวมกำไรขายเรือใน 3Q66 ในปี 2567 แม้จะยังเติบโต แต่จะชะลอการโตลงและให้ติดตามแผนการขยายกองเรือที่จะสร้างการเติบโตดีกว่าที่คาดไว้ เพื่อเป็นการระมัดระวังจากการเติบโตที่จะชะลอตัวลง ปรับ P/E จาก 12 เท่า เป็น 10 เท่า ราคาพื้นฐานปี 2566 ปรับเป็น 8.00 บาท ซึ่งยังมี upside ที่สูงอยู่ จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

- Advertisement -