บล.บัวหลวง:
KCG Corporation (KCG TB /KCG.BK)
KCG – ช่วงเวลาซื้อสะสม ก่อนเข้าสู่ไฮซีซั่น
เราแนะนำซื้อสะสมหุ้น KCG ก่อนช่วงไฮซีซั่น ปัจจุบันหุ้นซื้อขายในระดับราคาไม่แพง ที่ PER ปี 2568 ที่ 14.5 เท่า เราคาดกำไรครึ่งหลังของปี 2566 ที่ 27% YoY หนุนโดยรายได้ที่สูงขึ้นและอัตรากําไรที่สูงขึ้น ผลิตภัณฑ์ใหม่และ KCG Logistic Park จะหนุนการขยายตัวของรายได้
อุปสงค์ที่แข็งแกร่งและผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นตัวขับเคลื่อนครึ่งหลังของปี 2566
ในการประชุมนักวิเคราะห์ของ KCG เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้บริหารมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มครึ่งหลังของปี 2566 บริษัทคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ 17-18% YoY และอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นในปี 2566 จากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่และสินค้าใหม่ที่เปิดตัว เนื่องจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (NPD) KCG มีสินค้าทั้งหมด 2,100 รายการ ณ สิ้นเดือนมิ.ย. รวมถึง 200 รายการใหม่ จาก NPD โดยมียอดขายในครึ่งแรกของปี 2556 ที่ 200 ล้าน (เป้าหมายปี 2566 คือ 500 ล้านบาท ซึ่งเราเชื่อว่าสามารถทำได้) ซึ่งจะมาเป็นส่วนเพิ่มจากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ ซึ่งผู้บริหารคาดว่าอุปสงค์จะแข็งแกร่งในครึ่งหลังของปี 2566 โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล เรามั่นใจคาดการณ์การเติบโตที่ 15% สำหรับรายได้และ 51% สำหรับกำไรหลัก PER ปี 2566 ของหุ้น KCG อยู่ที่ 14.5 เท่า ซึ่งต่ำกว่าหุ้นเทียบเท่าราว 17-18 เท่าอย่างมีนัยสำคัญ ซื้อ!
แนวโน้มรายได้และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 3-4/66
เราคาดกำไรหลักของ KCG ในไตรมาส 3/66 เบื้องต้นอยู่ที่ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144% YoY และ 28% QoQ ปัจจัยขับเคลื่อนคือรายได้และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายที่ลดลง การเติบโตของรายได้จะมาจาก 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์เนยและชีส 2) ส่วนผสมอาหารและเบเกอรี่ และ 3) ผลิตภัณฑ์บิสกิต (ยอดขายจะเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาล) ในด้านต้นทุน เราคาดว่าราคาวัตถุดิบหลัก เช่น น้ำมันเนย น้ำมันปาล์ม และเชดดาร์ชีส (คิดเป็น 30% ของต้นทุนขาย) จะลดลง 20-28% YoY และ 2-8 % QoQ เราคาดกำไรหลักในไตรมาส 4/66 ที่ 125 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% YoY และ 92% QoQ หนุนโดยรายได้และอัตรากำไรที่สูงขึ้น
แผนขยายกำลังการผลิตเป็นไปตามแผน
KCG Logistics Park (มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาท) อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีกำหนดเริ่มดำเนินการบางส่วนในไตรมาส 4/66 และจะเปิดดำเนินการเต็มรูปแบบในไตรมาส 1/67 ผู้บริหารคาดว่าจะประหยัดต้นทุนได้ 50 ล้านบาท เนื่องจากการยกเลิกสัญญาเช่าจากบุคคลภายนอก และการปรับโครงสร้างสายการผลิตเนยและชีสใหม่ (ต้นทุนการลงทุน 265 ล้านบาท) จะช่วยขยายกำลังการผลิต โดยกำลังการผลิตชีสแปรรูปแบบแผ่น (IWS) จะเพิ่มขึ้นสองเท่าภายในเดือนธ.ค. 2566 ดังนั้น การขยายธุรกิจ IWS จะเพิ่มกำลังการผลิตชีสรวมของ KCG ขึ้น 19% และ KCG อยู่ระหว่างการเพิ่มกำลังการผลิตเนยขึ้น 25% ภายในเดือนมิ.ย. 2557 นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในระหว่างการติดตั้งการผลิตแบบอัตโนมัติและเครื่องจักรความเร็วสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งสายการผลิตชีสและเนย